“ผมดีใจที่คนไทยแข่งกันทำดี ทุกคนช่วยกันหมดเพื่อให้ได้วัคซีนโควิด-19 ไม่ใช่แข่งกันว่าใครจะทำออกมาขายได้ก่อน แต่ยิ่งพัฒนาได้มากยิ่งดี ยิ่งมีคนเข้ามาทำยิ่งดี เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงวัคซีนทั่วหน้า และชีวิตจะได้กลับมาสู่ความปกติเร็วที่สุด ผมถือเป็น “หน้าที่” ที่คนแข็งแรงกว่าต้องช่วยคนอ่อนแอกว่าในสังคม ในเมื่อเรามีเยอะก็ต้องช่วยคนอื่นเยอะ ใครช่วยตรงไหนได้ก็ทำตรงนั้น เช่น ช่วยบริจาคคนละหน่อย, ช่วยกระจายข้อมูลข่าวสาร, ช่วยเยียวยาภาคส่วนที่ขาดทุนทรัพย์ ช่วงเวลาเหล่านี้สำคัญ เรามีกำลังไหวแค่ไหนต้องช่วยให้สุดกำลัง เป็นเวลาที่ควรยื่นมือออกไปช่วยกัน และถือเป็นหน้าที่ต้องทำ ถ้าเราแข็งแรงคนเดียวอยู่ไปก็ไม่มีความสุขหรอก ต้องช่วยดึงกันไปถึงจะไปด้วยกันได้ ถ้าเอสเอ็มอีล้ม แล้วเราจะอยู่ได้เหรอครับ เราช่วยเขาเหมือนช่วยตัวเองไปด้วย ผมยืนยันว่าไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลคนเดียว แต่เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่ต้องช่วยกันคนละไม้ละมือเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ต้องยอมเรื่องกระจายรายได้, การบริจาค และเสียสละในการทำธุรกิจบ้าง ถ้าเป็นสังคมแบบ “Winner Takes All” ผู้ชนะเอาไปหมด รายใหญ่กินรวบคนเดียวหมด รอยยิ้มจะอยู่แต่กับรายใหญ่ แล้วคนอื่นๆในสังคมตายหมด!! ผมไม่มีความสุขหรอกเดินไปข้างนอกแล้วเรามีกินมีใช้ แต่คนอื่นยังลำบาก เราจะเฮฮาอะไรก็ทำไม่ได้เต็มปาก คือคนไทยทุกคนมันต้องกอดคอมีความสุขไปด้วยกัน”...เป็นอีกครั้งที่บอสใหญ่แห่งแสนสิริ “เศรษฐา ทวีสิน” แสดงความคิดเห็นตรงไปตรงมา เพื่อกระตุกความคิดของสังคมไทย ระหว่างเปิดใจให้สัมภาษณ์ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐปี 2563 เหนื่อยหนักแทบล้มทั้งยืนขนาดไหนปี 2563 รอยยิ้มได้หายไปจากใบหน้าคนไทย เราเข้ายิมออกกำลังกายก็ไม่ได้ จะสัมผัสตัวกอดกันเพื่อแสดงความรักก็ไม่ได้ จะไปเชียร์ฟุตบอลกับเพื่อนก็ไม่ได้ บรรยากาศอึมครึมไปหมด ตั้งแต่เกิดโควิด-19 ชีวิตเราเปลี่ยนไปเยอะ เปลี่ยนกระทั่งดึงเอารอยยิ้มออกไปจากใบหน้าพวกเราหมด คือมันเศร้าลึกๆนะ เป็นปีที่เหนื่อยจริงๆ มันเปลี่ยนวิธีคิดของคนไปหมดเลย รอยยิ้มที่หายไปของคนไทยจะเรียกคืนกลับมาในเร็ววันนี้ไหมผมว่ายาก ยังไงเราต้องอยู่กันไปให้ได้ มันขึ้นอยู่กับเราว่าจะสามารถทำใจได้หรือเปล่าว่า สถานการณ์อย่างนี้ ทั้งเรื่องโควิด-19, ความวุ่นวายทางการเมือง และปัญหาเศรษฐกิจ เราจะอยู่กันไปอย่างมีความสุขได้หรือเปล่า เพราะมันจะยังอยู่กับเราแบบนี้ไปอีกนาน ช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา เราเห็นตัวเลขโควิดลดลงก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น แต่พอ 2 อาทิตย์สุดท้ายก่อนสิ้นปี มันกลับมาระบาดอีก คราวนี้กลับมาเครียดใหม่ ผมเชื่อมั่นว่ารัฐบาลสามารถรับมือกับการแพร่ระบาดใหม่ได้ แต่มันยังไม่นิ่งจนกว่าจะมีวัคซีนโควิด-19 ให้คนไทยทุกคน ซึ่งคาดว่าจะประมาณไตรมาสสามและสี่ ฉะนั้น ระหว่างนี้เราต้องรู้จักบริหารความคาดหวังและจิตใจให้ได้ มีวิธีปลุกขวัญและกำลังใจยังไงต้องพยายามโฟกัสในสิ่งที่ทำให้มีความหวังมากขึ้น มีความหวังเพื่อจะได้หายใจต่อไป ต้องมีความหวังในระบอบการปกครอง, มีความหวังในรัฐบาล และมีความหวังต่อองค์กรที่ทำงานอยู่ ประเทศชาติบอบช้ำมาเยอะเพราะความแตกแยก อย่าพยายามหมุนทุกอย่างให้เป็นการทะเลาะกัน เป็นอะไรที่หักหาญกัน อะไรที่ใครทำดีก็พยายามชื่นชม ส่วนใครทำไม่ดีต้องกล้าออกมาตักเตือนแนะนำ คนที่ถูกเตือนก็อย่าคิดว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ผมว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ต้องพูด สังคมไทยวันนี้กลายเป็นสุดโต่งทั้งสองข้าง เรื่องนี้เป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องยอมรับ ถึงจะเห็นต่างแต่ถ้าเขาทำอะไรดีเราต้องชื่นชม แต่ถ้าเขายังทำอะไรไม่ดีต้องติเพื่อก่อ เพื่อนรักของผมคือ “คุณฐากูร บุนปาน” บอกเสมอว่า เวลาจะพูดอะไรอย่าพูดเรื่องคน แต่ให้พูดเรื่องความแทน เพื่อจะได้ไม่เกิดการกระทบกระทั่งเป็นส่วนตัว ทำให้เปิดใจยอมรับความเห็นที่แตกต่างได้ เพื่อให้สังคมเดินหน้าไปได้ อะไรคือบทเรียนยิ่งใหญ่ที่ได้จากวิกฤติโควิด-19ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนเข้าใจแล้วถึงความเปราะบางของชีวิต ฉะนั้น เราต้องสร้างแรงจูงใจให้ตัวเอง อย่ามัวแต่คาดหวังให้คนอื่นมาช่วย ถ้าก่อนนอนคุณทำใจได้ว่าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาจะต้องทำงานหนักขึ้น ในผลตอบแทนที่น้อยลงกว่าเดิม เพราะสถานการณ์บริษัทไม่ดี เลิกขมขื่นว่าทำไมฉันทำงานหนักขึ้นแต่ได้เงินน้อยลง ถ้าคิดตรงนี้ได้รอยยิ้มจะค่อยๆกลับมา ไม่ใช่ไปโกรธนายจ้างหาว่าโดนเอาเปรียบ สำหรับคนไทยทุกคน ปี 2563 เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายและเจ็บปวดจริงๆ เราจะต้องผ่านมันไปด้วยความเห็นอกเห็นใจกัน วันที่ลุกขึ้นมาเปิดทวิตเตอร์ส่วนตัว @Thavisin ตั้งใจบอกอะไรกับสังคมผมถือเป็นหน้าที่ต้องส่งต่อความคิดเห็นไปยังผู้มีอำนาจที่บริหารจัดการประเทศอยู่ สื่อสารไปยังภาคสังคม, ภาคประชาคม, รัฐบาล, ข้าราชการ หรือแม้แต่พนักงานของเราเอง เพื่อให้ได้รับฟังความคิดเห็นที่หวังดีของเรา ปกติผมเป็นคนพูดตรง แต่เมื่อเป็นบุคคลสาธารณะ ก็มีหน้าที่ทำให้สิ่งที่พูดออกไปไม่เกิดความสับสน หรือตีความผิดๆ ขณะเดียวกัน ถ้ากลัวมากเกินไปแล้วไม่กล้าแสดงความคิดเห็นคงไม่ได้ หลายคนบอกผมว่าถ้าคุณไม่เห็นด้วย ต่อให้ตกแต่งคำพูดสละสลวยขนาดไหน เขาก็คิดว่าคุณเป็นคนละฝั่งกับเขา แต่ผมไม่ยอมแพ้นะ ผมพยายามพัฒนาขัดเกลาคำพูดของผมเพื่อให้เข้าใจว่าเราพูดไปด้วยความหวังดีและบริสุทธิ์ใจจริงๆ ถึงจะไม่เห็นตรงกันกับฝ่ายที่เราอ้างถึง แต่มิได้หมายความว่าเราไม่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ถือเป็นความท้าทายสูงส่ง สิ่งที่เราพูดเพื่อเสริมจากมาตรการที่เขาออกไป เพื่ออีกนิดหนึ่งให้ทำดีขึ้นไปอีก เวลาทัวร์ลงในทวิตเตอร์ รับมือยังไง เคยหลุดไหมผมพยายามนับ 1 ถึง 10 และใช้ความสุภาพ ถ้าหลุดคือผมไม่ตอบ ใครหยาบคายมา ใครพูดจาผิดกฎหมาย ผมจะเงียบใส่ คือไม่มีประโยชน์จะตอบโต้ ผมต้องทวีตทุกวันเพื่อสื่อสารกับทุกคน และพยายามพูดถึง “ความ” เป็นหลัก แทนที่จะพูดถึง “คน” ผมไม่ได้เขียนเอาความสะใจ ไม่อยากหาเหตุผลให้เขาโกรธ เพราะถ้าเขาโกรธเขาก็ปิดประตูใส่เลยและไม่ทำ แต่เราเขียนเพื่อให้เขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งเขารู้อยู่แล้วว่าคืออะไร ท่ามกลางความมืดมิด อยากเห็นแสงสว่างอะไรที่ปลายอุโมงค์สิ่งที่ผมอยากเห็นที่สุดคือ ความสามัคคีของคนไทยทั้งประเทศ และความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน แม้ความคิดจะแตกต่างกัน โควิด-19 น่าจะทำให้ได้คิดว่าชีวิตคนเรามันเปราะบางนะ เรามีเวลาน้อยเหลือเกินบนโลกใบนี้ ถึงจะคิดเห็นต่างกัน ก็น่าจะอยู่ด้วยกันได้อย่างยิ้มแย้มแจ่มใส เราควรเคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน พยายามลดทอนการชี้หน้าด่ากันไปมา อะไรที่มันถูกต้องก็แนะนำกันไป และเปิดใจกว้างรับฟังกัน ผมว่าปัญหาของคนไทยคือ ใช้สิทธิ์กันเยอะไปหน่อย ฉันมีสิทธิ์ทำโน่นทำนี่ แต่สิ่งที่ลืมไปคือ เรามีหน้าที่ต่อส่วนรวมอย่างไร ผมอยากเห็นคนไทยมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมมากขึ้น ต้องถือเป็นหน้าที่ มีเยอะให้เยอะ...มีน้อยให้น้อย...ไม่มีไม่ต้องให้ หน้าที่สำคัญมากคือการทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ โดยเฉพาะการสมานฉันท์ ไม่ทำให้เกิดความแตกแยกมากขึ้น เวลาแสดงความคิดเห็นอะไร อยากให้นึกถึงใจเขาใจเรา ประเทศไทยจะมีโอกาสหลุดพ้นจากวังวนนี้ไหมคะในฐานะผู้นำองค์กรคนหนึ่ง ผมจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ประเทศไทยก็เหมือนเครื่องจักรตัวใหญ่ ส่วนผมเป็นเฟืองตัวหนึ่ง เช่นเดียวกับคนไทยทุกคน ถ้าทุกคนช่วยกันทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด, ช่วยกันสามัคคี, ทำตามกฎหมาย, ลดความก้าวร้าว ก็จะเป็นอะไรที่สังคมไทยมีความหวัง คนแต่ละเจเนอเรชันมีความคิดเห็นแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะพูดอะไรทำอะไรอยากให้เอาเหตุผลมาพูดกัน สำคัญที่สุดคือต้องใช้ความสุภาพ ไม่อยากให้มีการทำร้ายกันด้วยคำพูด ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป ผู้ใหญ่ต้องฟังเด็ก และเด็กก็ต้องฟังผู้ใหญ่ ผมไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงและความก้าวร้าว ถ้าคุณมั่นใจในหลักการแล้ว ต้องพยายามทำอะไรที่ถูกต้องเพื่อผลักดันไอเดียออกไป อย่าใช้วาทกรรมเพื่อสร้างความสะใจ ถ้าคุณจะเป็นผู้นำต้องรู้จักเสียสละ ต้องก้าวข้ามสิ่งไม่ดีและความเกลียดชังในอดีตไปให้ได้ ผมบอกตัวเองตลอดว่า ถ้าเดินอยู่ข้างถนนแล้วหัวเปียกเมื่อไหร่โดยที่ฝนไม่ตก ก็อย่าโกรธละกัน แสดงว่ามีคนถุยน้ำลายใส่หัวเรา กำลังนินทาว่าร้ายเรา ต้องยอมรับให้ได้ แล้วจะไม่มีวาทกรรมไปตอบโต้เขา ผมตื่นมาทำงานดีกว่า ผมไปช่วยพัฒนาวัคซีนดีกว่า หรือช่วยกันทำความดีดีกว่า ใครอยากถุยอะไรถุยมาเลย ต้องก้าวข้ามไปให้ได้ เรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ ผมไม่ได้ก้าวร้าว ไม่ได้ไปด่าทอใคร ผมรู้ว่าผมเห็นต่าง แต่ก็พยายามอยู่ของผมไปให้ได้ ผมต้องพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลา ต้องพยายามพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เมื่อผิดเราจะได้แก้ไข คนไม่เคยทำอะไรผิดคือไม่เคยทำงาน ถ้าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมา ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 สิ่งแรกที่อยากทำที่สุดคืออะไรผมอยากเดินทางไปพักผ่อนไปสัมผัสอากาศหนาว ไปเยี่ยมลูกๆที่อังกฤษและอเมริกา ปีนี้เป็นปีแรกที่เราไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันในวันปีใหม่.ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ