58 คน ตัวเลขล่าสุดของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ประเทศไทยพบว่าเป็นผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ซึ่งรายงานโดยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.63แน่นอนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ย่อม สร้างความหวั่นวิตกให้กับสังคมไทยโดยส่วนรวม เพราะนั่นหมายถึงประเทศไทยอาจต้องกลับไปเผชิญกับ super-spreaders หรือการมีผู้แพร่เชื้อรายใหญ่อีกครั้ง“ทีมข่าวสาธารณสุข” ขอสรุปสถานการณ์สั้นๆ เพื่อฉายภาพสิ่งที่เกิดขึ้น เริ่มจากกรณีหญิงไทยอายุ 29 ปี จ.เชียงใหม่ ที่ลักลอบเข้าไทยทางช่องทาง ธรรมชาติ และไม่ยอมกักตัวเอง 14 วัน และไปในที่ชุมชน ต่อมา ที่ จ.เชียงราย พบกลุ่มหญิงไทย 7 คน จาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ซึ่งลักลอบเข้าไทยและแยกย้ายกันเดินทางต่อเพื่อกลับภูมิลำเนาตนเอง ได้แก่ จ.เชียงราย 3 คน,จ.พะเยา 1 คน, กทม. 1 คน, จ.พิจิตร 1 คน และ จ.ราชบุรี 1 คน ขอบคุณภาพจากกรมอนามัยแต่ที่ทำให้ผู้คนตื่นตกใจกันทั่วประเทศคือ หลายคนในกลุ่มนี้ไปเที่ยวในที่ชุมชน เช่น สิงห์ปาร์คเฟสติวัล เดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ ได้แก่ รถโดยสาร เครื่องบินจากเชียงรายมาสนามบินดอนเมือง กรุงเทพฯ ซึ่งผลการ สอบสวนโรค พบผู้ที่เดินทางมาในเที่ยวบินเดียวกันนี้ ติดเชื้อ ได้แก่ หญิง จ.สิงห์บุรี อายุ 51 ปี และผลการสอบสวนโรคถึงสาเหตุที่น่าจะทำให้หญิงสิงห์บุรี วัย 51 ปี ติดเชื้อนั้น นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ระบุว่า “เนื่องจากหญิง จ.สิงห์บุรี รายนี้ เดินทางกลับจาก จ.เชียงราย มากรุงเทพฯ เที่ยวบินเดียวกันกับหญิง จ.พิจิตร อายุ 25 ปี และหญิงกรุงเทพฯ อายุ 21 ปี ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันไปก่อนหน้านี้ และไม่รู้จักกัน เมื่อตรวจสอบที่นั่งบนเครื่องบิน พบว่า หญิงสิงห์บุรีนั่งที่นั่ง 52 C ส่วนหญิงพิจิตรและหญิง กรุงเทพฯ นั่ง 44J และ 44K ซึ่งห่างกัน 8 แถว และทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาบนเครื่องบิน จึงไม่น่าจะรับเชื้อจากในเครื่องบิน และเมื่อนำกล้องวงจรปิดภายในสนามบินมาตรวจสอบ จึงพบว่า มีบางช่วงเวลาที่ทั้ง 3 คน อยู่ใกล้กัน คือ เข้าห้องน้ำในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน และนั่งอยู่ในพื้นที่ที่ใกล้กัน ที่สำคัญคือทั้ง 3 คน สวมหน้ากากอนามัยผิดวิธีคือ สวมไว้ใต้จมูก ใต้ปาก จึงน่าจะเป็นปัจจัยที่จะได้ รับเชื้อจากบริเวณนี้” “การสวมหน้ากากอนามัยต้องสวมให้ถูกวิธี โดยจะต้องคลุมทั้งจมูกและปาก การสวมหน้ากากอนามัยยังช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อจากผู้ป่วยไปคนอื่น และถ้าเราสวมหน้ากากอนามัยด้วย โอกาสรับเชื้อจากผู้ป่วยก็ลดน้อยลง” นพ.โสภณ กล่าวย้ำผลสืบเนื่องจากกรณีผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับ จ.ท่าขี้เหล็ก เดินทางกลับภูมิลำเนา ทำให้เกิดกรณีปิดสถานศึกษาหลายแห่ง เรื่องนี้ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ชี้แจงทำความเข้าใจว่า “เมื่อพบผู้ป่วยยืนยันโรคโควิด-19 หมายถึง คนที่ ตรวจพบเชื้อทางห้องปฏิบัติการ ทีมสอบสวนจะค้นหาผู้สัมผัส ซึ่งแบ่งเป็น 1.ผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง หรือ กลุ่มเสี่ยงสูง คือ คนที่อยู่ใกล้ผู้ป่วย โดยไม่ใส่หน้ากากอนามัย ทั้งผู้ป่วยและผู้ใกล้ชิด คุยกันในระยะ 1 เมตร นานกว่า 5 นาที หรือ มีการไอ จามใส่กัน, ผู้ที่อยู่ในสถานที่ปิด อากาศไม่ ถ่ายเท เช่น รถปรับอากาศ รถตู้ ห้องปรับอากาศ ร่วมกับผู้ป่วย และอยู่ห่างจากผู้ป่วยไม่เกิน 1 เมตร นานกว่า 15 นาทีโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย กลุ่มนี้จะต้องถูกกักตัวอย่างเข้มงวด และมีการตรวจหาเชื้อเป็นระยะ จนพ้น 14 วัน 2.กลุ่มสัมผัสที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่ำ หรือ กลุ่มเสี่ยงต่ำ คือ ผู้ที่ทำกิจกรรมร่วมกับผู้ป่วยโควิด แต่ไม่เข้าเกณฑ์กลุ่มเสี่ยงสูง 3.ผู้ใกล้ชิดกับผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จัดเป็นผู้มีความเสี่ยงต่ำ และ 4.ผู้ใกล้ชิดกับผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ จัดว่า เป็นผู้ไม่มีความเสี่ยง นพ.โอภาส นพ.โสภณ“ถ้าพบผู้ป่วยยืนยันโรคโควิด 1 คน ให้ปิดห้องเรียนนั้น 3 วัน เพื่อทำความสะอาด ถ้าพบผู้ป่วยมากกว่า 1 ห้องเรียน ให้ปิดชั้นเรียนนั้น 3 วัน เพื่อทำความสะอาด, ถ้าไม่พบผู้ป่วยยืนยัน ให้ กลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูงกักตัว 14 วัน ถ้ามีอาการผิดปกติให้พบแพทย์ ส่วนโรงเรียนหรือสถานประกอบการให้เปิดได้ตามปกติ, กลุ่มสัมผัสเสี่ยงต่ำ ให้สังเกตอาการ อย่าทำกิจกรรมในที่ชุมชน ไม่ต้องปิดโรงเรียนหรือสถาน-ประกอบการ, ผู้ใกล้ชิดกับผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จัดว่ามีความเสี่ยงต่ำ ไม่ต้องหยุดเรียนหรือหยุดงาน แต่ให้สังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน, ผู้ใกล้ชิดกับผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ จัดว่าไม่มีความเสี่ยง ไม่ต้องหยุดเรียนหรือหยุดงาน แต่ให้สังเกตอาการ 14 วัน ทั้งนี้ ทุกกลุ่มควรสวมหน้ากากอนามัยไว้” นพ.โอภาส กล่าว ทีมข่าวสาธารณสุข เห็นว่า หากคนไทยทุกคนร่วมใจกันทำตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ด้วยการสวมหน้ากากอนามัยให้ถูกวิธีเมื่อเข้าไปในที่ชุมชน ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร สแกนแอปฯไทยชนะ เมื่อเรายังไม่มีวัคซีนป้องกัน การใส่หน้ากากถือเป็นวัคซีนส่วนตัวที่ได้ผลที่สุดในเวลานี้ และสำคัญที่สุดคือเราต้องสวมหน้ากากให้ถูกต้องด้วยคงน่าเสียดาย และน่าเศร้า หากการใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งเปรียบเสมือนวัคซีนส่วนตัวซึ่งได้ผลที่สุดในขณะนี้ กลับกลายเป็นแค่เครื่องประดับบนใบหน้า หรือแค่สักแต่ว่าใส่โดยไม่ใส่ใจดูแลให้ถูกวิธี ที่สุดท้ายให้มีหน้ากากอนามัยที่มีคุณสมบัติดีเลิศเลอขนาดไหน ก็ไร้ค่า และไม่สามารถเป็นเกราะดูแลสกัดกั้นโรคโควิด-19 ได้แต่อย่างใด.ทีมข่าวสาธารณสุข