การเมืองไทยในยุคแห่งความขัดแย้ง มีการกล่าวหาซึ่งกันและกันแปลกๆ และมีข่าวลือที่เป็นอัปมงคลเป็นระยะๆ เช่น ส.ส.ฝ่ายค้านถูกกล่าวหา แอบไปร่วมชุมนุมกับคณะราษฎร ถือว่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง เป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ถือเป็นเรื่องปกติมีข่าวลือเรื่องปฏิวัติรัฐประหารเป็นระยะๆ จนผู้บัญชาการทหารบกต้องขอร้องให้ตัดทิ้งไป ตามด้วยข่าวลือการประกาศกฎอัยการศึก เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุม แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันไม่เคยติด เพราะมีกฎหมายอื่นอยู่แล้ว เช่น พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ที่รัฐบาลเพิ่งยกเลิกการประกาศกฎอัยการศึกถือเป็น เรื่องร้ายแรง โดยปกติจะประกาศใช้ ในขณะที่ มีสงคราม หรือมีจลาจลร้ายแรง ที่ฝ่ายตำรวจไม่สามารถควบคุมได้ จำเป็นต้องใช้กำลังทหาร ไม่กระทบเฉพาะผู้ชุมนุม แต่กระทบถึงประชาชนทั่วไป เพราะอาจมีประกาศห้ามออกนอกบ้าน ห้ามการชุมนุม ห้ามสื่อมวลชนเสนอข่าว หรือวิพากษ์วิจารณ์ในอดีตมักจะประกาศใช้กฎอัยการศึก เมื่อคณะรัฐประหารยึดอำนาจ เป็นการใช้กฎอัยการศึกเพื่อรักษาอำนาจเผด็จการ บางยุคบางสมัยใช้กฎอัยการศึกติดต่อกันหลายปี ในยุคเผด็จการเต็มใบ ประเทศไทยกลายเป็นต้นแบบให้ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เผด็จการเนวินของพม่า และมาร์กอสแห่งฟิลิปปินส์แต่ขณะนี้ไทยเป็นประเทศที่เรียกกันว่า “ประชาธิปไตย” แม้จะไม่เต็มใบ แต่มีรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติ มีการเลือกตั้ง ส.ส. โดยประชาชน และเลือกนายกรัฐมนตรีโดย “รัฐสภา” มี 250 ส.ว. ที่หัวหน้า คสช.แต่งตั้ง มีสิทธิเลือกหัวหน้า คสช.เป็นนายกรัฐมนตรี อย่างน้อยก็เป็น “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ไม่ควรใช้กฎอัยการศึกเว้นแต่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม ส่วนการควบคุมการชุมนุม ใช้ พ.ร.บ.การชุมนุม หรือ ป.อาญา มาตรา 116 ก็หนักหนาสาหัสแล้ว รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ชี้แจงว่า ถ้าจะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง ต้องเป็นการชุมนุมใกล้สถานที่สำคัญ หรือผู้ชุมนุมมีอาวุธ หรือมีความเสี่ยงเรื่อง “ม็อบชนม็อบ” ฟังแล้วสะดุ้ง เพราะขณะนี้มีความเสี่ยงเริ่มมีเหตุรุนแรงส่งท้าย ในการชุมนุมสองครั้งสุดท้าย อาจกลายเป็นเครื่องมือของกลุ่มผู้ประสงค์ร้าย ใช้เป็นข้ออ้างเพื่อล้มล้างประชาธิปไตย ดังที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2549 และ 2557 คณะรัฐประหารในอดีตชอบอ้างปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง ปัญหาข้าวยากหมากแพง ประชาชนเดือดร้อน แต่ระยะหลังอ้างความขัดแย้งสองฝ่าย.