เหล่าผู้นำชาติสมาชิกสหภาพยุโรป หรืออียู 27 ประเทศ ประชุมกันที่กรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงเบลเยียม วันที่ 3 เมื่อวันอาทิตย์ 19 ก.ค. หารือแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังภัยระบาดของโคโรนาไวรัส “โควิด-19” ทั้งๆ ที่สถานการณ์ระบาดของโรคยังไม่มีทีท่ายุติลงโดยง่าย ตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกยังทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องทะลุกว่า 14 ล้านราย ผู้เสียชีวิตมากกว่า 6 แสนราย ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกเพียงวันเดียวเมื่อช่วง 18 ก.ค.มากเกือบ 2.6 แสนราย ทุบสถิติพบผู้ติดเชื้อภายในวันเดียวมากกว่า 2.5 แสนรายแนวทางแผนหารือฟื้นเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป คือเสนอตั้งกองทุน 750,000 ล้านยูโร ให้ชาติสมาชิกใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าเงินจำนวนนี้จะปล่อยกู้หรือจ่ายช่วยเหลืิอแต่ละประเทศ ซึ่งชาติสมาชิก อาทิ เนเธอร์แลนด์และสวีเดน ต่างต้องการให้เงินจำนวนนี้ใช้ “ปล่อยกู้” แต่ชาติสมาชิกอียูที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจย่ำแย่อยู่แล้ว อาทิ อิตาลีและสเปน ต่างกล่าวหาสหภาพยุโรปไม่ช่วยเหลืออย่างเพียงพอต่อชาติสมาชิกที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากโควิด-19 ซึ่งทั้งสเปนและอิตาลี ต่างได้รับผลกระทบรุนแรง โดยสเปนพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้วกว่า 3 แสนราย ผู้เสียชีวิตกว่า 2.8 หมื่นราย ส่วนอิตาลีพบผู้ติดเชื้อกว่า 2.4 แสนราย ผู้เสียชีวิตกว่า 3.5 หมื่นรายนอกจากนั้น หลายชาติสมาชิกสหภาพยุโรป ต่างผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ แต่อีกหลายประเทศยังเผชิญสถานการณ์พบผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ที่ประชุมเหล่าผู้นำสหภาพยุโรป ซึ่งประชุมกันแบบเผชิญหน้าครั้งแรกนับตั้งแต่สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 รุนแรงขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค. เกิดความแตกแยกหาข้อสรุปลงตัวไม่ได้ ถึงขนาดนางแองเกลา แมร์เคิล ผู้นำเยอรมนี ระบุการประชุมครั้งนี้คงไม่ได้ข้อสรุปใดๆทั้งสิ้นขณะเดียวกัน นายเดวิด มัลพาสส์ ประธานธนาคารโลก เรียกร้องขยายเวลาพักชำระหนี้แต่ละประเทศไปจนถึงสิ้นปี 2564 โดยมีชาติลูกหนี้แสดงความจำนงแล้วกว่า 42 ประเทศ มูลค่าหนี้ทั้งหมดกว่า 5,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่องค์กรการกุศลหลายแห่งต้องการให้ธนาคารโลกยืดชำระหนี้แต่ละประเทศไปจนถึงปลายปี 2565 เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะเกิดแก่ชาวโลกหลายร้อยล้านคน ซึ่งต่างได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19.
