การบินไทยพ้นสภาพ “รัฐวิสาหกิจ” ภายหลัง กระทรวงการคลังขายหุ้นให้กองทุนวายุภักดิ์ “ขสมก.” คือ รัฐวิสาหกิจอีกแห่งที่ขาดทุนป่นปี้ต่อเนื่องมาหลายปี มีหนี้สินสะสมร่วม 1.3 แสนล้านบาทอาการหนักเข้าขั้นโคม่า มาวันนี้...ดูมีความหวังเมื่อ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ได้อนุมัติรับหลักการแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. วาดหวังกันว่า “รถเมล์ไทย” จะเป็นที่เชิดหน้าชูตา ยกระดับมาตรฐานบริการระดับสากลเป็นที่พึ่งพิงให้คนกรุงฯแบบจริงๆ จังๆ เสียที หลังจากที่ปัจจุบันระบบขนส่งมวลชนหลักของ กทม. มีสภาพรถทรุดโทรมอย่างที่เห็น ...ความปลอดภัยไม่มี...อายุรถเกือบ 30 ปี...คุยกันมานานก็ยังไม่ได้เปลี่ยน รถเมล์เพื่อนบ้านกัมพูชา พม่า ลาวไปไกลกว่าเรามากแล้ว ตอนนี้เรายังแค่มีแผนเริ่มจาก...มาตรการลดปัญหาหนี้สินรุงรัง เฉลี่ยขาดทุนปีละ 6,000 ล้านบาท (เงินเดือน ผลประโยชน์พนักงาน ค่าเดินรถโดยตรงรวมถึงดอกเบี้ย) ลดการขาดทุนสะสม และมีแผนการันตี ผลประกอบการ ขสมก. จะกลับมาเป็นบวก มีกำไรในปี 2572แต่...ในข้อเท็จจริงขอแค่ขาดทุนน้อยลงกว่าเดิม ประชาชนได้ใช้รถใหม่ ปลอดภัยก็น่าจะเพียงพอแล้วหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ต้องกล่าวถึงคือ การเปลี่ยน “รถใหม่” โดยการนำ “รถเมล์ไฟฟ้า (EV)” มาใช้ สุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการ ขสมก. บอกว่า การเช่ารถเมล์อีวีพลังงานสะอาดจะกำหนด ราคากลางโดยคำนวณจากระยะทางที่รถเมล์แต่ละคันจะวิ่งในเส้นทาง ซึ่งแต่ละวันวิ่งเฉลี่ย 240-250 กม. เมื่อคูณกับจำนวนรถที่จัดหา 2,511 คัน จะทำให้ได้ “ราคากลาง”...เบื้องต้นจะมีต้นทุนประมาณปีละ 4,000 ล้านบาทเมื่อเทียบกับต้นทุนปัจจุบันที่เป็นรถเก่า รวมค่าน้ำมันดีเซลอยู่ที่เกือบ 7,000 ล้านบาท ซึ่งจะลดลงกว่าเดิมไม่น้อยกว่า 2-3 พันล้านบาท หากรวมค่าเชื้อเพลิงซึ่งใช้ไฟฟ้า และที่สำคัญประชาชนจะได้ใช้รถใหม่ ใช้รถไฟฟ้าที่มีสภาพดี ปลอดภัย อีกทั้งมลพิษทางอากาศกลายเป็นศูนย์ในทันที ตามแผนจัดหารถโดยสารปรับอากาศพลังงานไฟฟ้า (EV) ระยะเวลาเช่า 7 ปี เมื่อนำมารวมกับการจัดหารถเมล์เอ็นจีวีที่เคยดำเนินการไปแล้ว 489 คัน ทำให้ ขสมก.มีรถเมล์บริการรวม 3,000 คัน หรือการเปรียบเทียบแผนฟื้นฟูเดิมที่ยังไม่ตอบโจทย์ยังคงสร้างภาระหนี้เพิ่มด้วยการจัดซื้อรถใหม่ขึ้นอีก 3,000 คัน ใช้วงเงินกู้กว่าสองหมื่นล้านบาท แถมยังเพิ่มค่าโดยสารจากเดิม 9-15 บาท ขึ้นเป็น 15, 20, 25 บาทแผนเดิม...เฉลี่ยคนเดินทางไปกลับ 2.04 เที่ยวต่อวัน ต้องจ่ายค่าโดยสารอย่างน้อย 48 บาทต่อวัน ในกรณีที่มีการต่อรถมากขึ้นระหว่างวันก็จะยิ่งมีภาระมากขึ้นอีกถัดมา...ผู้โดยสารซื้อตั๋วแบบใหม่รายวันเหมาจ่าย 30 บาท จากการศึกษาพบว่า ผู้โดยสารจะเสียค่าใช้จ่ายถูกลงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ และแบบเที่ยวครั้งละไม่เกิน 15 บาท ไม่จำกัดจำนวนป้ายในกรณีที่ใช้เพียงเที่ยวเดียวต่อวัน นอกจากนี้ จะมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรนักเรียน หรือบัตรรายเดือน รองรับผู้โดยสารที่มีรายได้น้อย เรื่องการจัดหารถและอัตราค่าโดยสารใหม่จึงเป็นสาระสำคัญซึ่งทำให้แผนฟื้นฟูฉบับปรับปรุงต่างจากแผนฟื้นฟูฉบับเดิม โดย ขสมก.เองจะไม่มีการกู้เงินเพิ่ม หรือจัดหารถโดยการซื้อ แต่จะเป็นการจ้างวิ่งต่อ กม.แทนโมเดลการจ้างเอกชนเดินรถแบบนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายและได้ผลดีในต่างประเทศ ทั้งสิงคโปร์ ลอนดอน ออสเตรเลีย เป็นโมเดลที่ไม่ต้องแบกต้นทุน หรือภาระเหมือนธุรกิจที่ไร้ความเสี่ยง เช่น Grab ไม่ต้องมีรถแท็กซี่เอง Facebook เองก็ไม่ใช่เจ้าของคอนเทนต์ หรือ Airbnb ก็ไม่มีห้องเช่าเป็นของตัวเองแม้แต่ห้องเดียวอีกทั้ง Netflix ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของคอนเทนต์เองทั้งหมด...ดังนั้นการสร้างหนี้เพิ่มเพื่อจัดซื้อรถใหม่ก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่าไม่เหมาะสมกับโลกในปัจจุบันนอกจากนี้ ยังนับรวมไปถึงการปรับเส้นทางเดินรถใหม่ เพื่อให้สอดคล้องลงตัว โดย ขสมก.มี 108 เส้นทาง รถร่วมฯ 54 เส้นทาง รวมเป็น 162 เส้นทาง จากเดิมที่มีกว่า 269 เส้นทาง ซึ่งเป็นปัญหาการจราจรเพราะจำนวนรถที่ติด เช่น เส้นพหลโยธินมีรถ 30 เส้นทาง 30 สาย เท่ากับว่ามีรถเมล์ 900 คัน อยู่บนถนนพหลโยธินหากจะพูดให้เห็นภาพ...รถ 1 คันยาว 12 เมตร เท่ากับว่ามีรถเมล์ 9 กม. จอดเรียงกันอยู่บนถนน แต่ถ้าใช้วิธีนี้เท่ากับลดจำนวนรถได้ครึ่งหนึ่ง รถหายไป 4.5 กม.หัวใจสำคัญในการฟื้นฟู “รถเมล์กรุง” ระลอกนี้ จึงมี 5 หลักใหญ่ๆด้วยกัน...นั่นก็คือ ลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ลดภาระรัฐ ลดภาระการขาดทุนของ ขสมก. ลดปัญหาการจราจร และลดมลภาวะ พลิกแฟ้มเอกสารรายละเอียดข้อชี้แจง “แผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)” ให้ได้รู้กันเป็นสังเขป เสมอเหมือนเป็นบันทึกช่วยจำเพื่อประเมินผลงานสะท้อนความจริงที่จะเกิดในอนาคตเหตุใด? จึงเก็บค่าโดยสารในอัตรา 30 บาทต่อคนต่อวัน และอัตราค่าโดยสารดังกล่าวเพียงพอกับค่าใช้จ่ายของ ขสมก.หรือไม่...? (ประมาณว่าจะไม่ขาดทุนอีกต่อไปแล้ว)อธิบายสมมติฐานการคำนวณ “ค่าโดยสาร” ประมาณการผู้โดยสาร จำนวนเที่ยววิ่ง ประมาณการรายได้ ค่าใช้จ่าย และเหตุผลสนับสนุน ปี 2562 ที่ผ่านมา ขสมก. มีผู้ใช้บริการเฉลี่ยวันละเก้าแสนกว่าถึงหนึ่งล้านเที่ยวคน เช่นเดียวกับฝั่งเอกชน ดังนั้น เท่ากับว่ารวมเป็นวันละสองล้านเที่ยวคน หรือเฉลี่ยหนึ่งล้านคนต่อวัน หากใช้ตัวเลขผู้โดยสารกับค่าโดยสารใหม่เป็นประมาณการรายได้แล้วจะทำให้กำหนดจำนวนรถให้เหมาะกับจำนวนผู้โดยสารและจากผลการศึกษาของ สจล. พบว่า ผู้โดยสารส่วนใหญ่ 78% จะเดินทางประมาณ 16.48 กม.ต่อเที่ยวขึ้นไป ดังนั้น หากใช้ตัวเลขของ สนข. ที่คำนวณว่าผู้โดยสารจะเดินทาง 1.97 เที่ยวต่อวัน จะทำให้ผู้โดยสารรถปรับอากาศใหม่เท่ากับ 78% จะต้องจ่ายค่าโดยสาร 50 บาทต่อคนต่อวัน ฉะนั้น อัตราค่าโดยสารดังกล่าวในระยะ 7 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2571 ค่าโดยสารยังไม่พอต่อค่าใช้จ่ายจึงต้องให้รัฐสนับสนุน PSO ให้เงินอุดหนุนในวงเงิน 9,675 ล้านบาท...เนื่องจากต้นทุนให้บริการและค่าใช้จ่ายในการบริหารรถร่วม โดยเฉพาะพนักงานขับรถ และพนักงานสำนักงานยังสูงอยู่ เนื่องจากเป็นพนักงานองค์การประเด็น...กลยุทธ์แนวทางการจัดหารถโดยสารเพื่อประชาชน ขสมก.เช่ารถโดยสาร EV จำนวน 2,511 คัน โดยจ่ายค่าเช่าตาม กม. บริการที่วิ่งจริง คำถามมีว่า...เหตุใดต้องเป็นรถโดยสาร EV ทั้งหมด เนื่องจากมีข้อจำกัดในการใช้งานหลายอย่าง เช่น ชาร์จไฟฟ้าแต่ละครั้งวิ่งได้เพียง 250 กม. ความเร็วรถจำกัดที่ 60 กม./ชม. ฯลฯต้องมีการเตรียมความพร้อมสถานีอัดประจุไฟฟ้า ใครจะเป็นผู้ลงทุนในการก่อสร้างสถานีอัดประจุไฟฟ้า...มีผู้ประกอบการกี่รายที่มีความพร้อมในการจัดหารถโดยสาร EV และมีแผนจะดำเนินการจัดหาอย่างไรคำตอบ...เหตุผลที่ใช้รถปรับอากาศไฟฟ้า (EV) หนึ่ง...เพื่อลดมลภาวะ PM 2.5 ถัดมา...สนับสนุนนโยบายภาครัฐในการใช้รถไฟฟ้า (EV) ในรถสาธารณะตามนโยบายคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติโดยกำหนดให้รถไฟฟ้า (EV) ต้องวิ่งได้ 250 กม.ต่อวัน สามารถชาร์จไฟได้ครั้งเดียววิ่งได้ 60 กม.ต่อชั่วโมงตามผลการศึกษาของ สจล. เมื่อเดือนมีนาคม 2559 ประกอบกับในการจัดทำร่าง TOR จัดหารถไฟฟ้าได้กำหนดระยะทางไม่ต่ำกว่า 50 กม. ผู้ให้เช่าจัดหาพร้อมสถานีอัดประจุไฟฟ้า รวมถึงสเปกรถซึ่งอัดแน่นไปด้วยคุณสมบัติมากมาย ทั้งระบบ GPS, E-ticket, เครื่องฟอกอากาศ, ที่ชาร์จโทรศัพท์, ที่นั่งคนพิการ, กล้อง AI นับจำนวนผู้โดยสาร ฯลฯ ปฐมบทปฏิรูปรถเมล์ไทยเป็นเช่นนี้ หากสหภาพหรือผู้ไม่เห็นด้วยจะคัดค้านก็ควรค้านและเสนอความคิดเห็นแบบสร้างสรรค์ไม่ใช่สักแต่จะค้าน ส่วนฝ่ายบริหารเองก็มีหน้าที่รับฟัง วางตัวเป็นกลางเพื่อนำไปปรับปรุงจับตา...“รถเมล์ไทย” หลังฟื้นฟู ต้องมีดีกว่าเก่า…ถือเป็นการ “ปลดล็อก” วังวนรัฐวิสาหกิจยุคไดโนเสาร์ โดยเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง.