“ปลัดพาณิชย์” ขู่จัดหนักพ่อค้าหน้าเลือดขายเกินราคา “เจลล้างมือ-แอลกอฮอล์” หลังชาวบ้านร้องเรียนเข้ามามาก ใครเจอที่ไหนแจ้ง 1569 ด่วน ยันแอลกอฮอล์ไม่มีปัญหาขาดแคลน เพราะไทยเป็นผู้ผลิตรายสำคัญ ด้าน “ธรรมนัส” เชื่อตำรวจขยายผลถึงต้นตอแล้ว กรณีข่าวคนใกล้ชิดถูกแฉกักตุนหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้น ขณะที่ “เทพไท” เรียกร้อง “อัจฉริยะ” เปิดชื่อให้ชัด นักการเมืองหญิงที่ปรึกษา รมต.เอี่ยวส่งออกหน้ากากอนามัยเป็นใคร ด้านรองโฆษก ตร.ชี้เหตุนำหน้ากากอนามัย 2 แสนกว่าชิ้นที่ตรวจยึดมาใช้ไม่ได้เพราะเป็นของกลางในคดีอาญา ต้องรอให้มีคำสั่งศาล ถึงจะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดได้จากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดปัญหาการกักตุน ขายหน้ากากอนามัยเกินราคา และไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงเพจแหม่มโพธิ์ดำออกมาแฉคนใกล้ชิด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้น ก่อนที่ตำรวจ บก.ปอท.จะดำเนินคดีกับนายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือเสี่ยบอย ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 นำเข้าข้อความอันเป็นเท็จ หลังโพสต์ภาพขายหน้ากากอนามัยหลายร้อยล้านชิ้น อ้างเป็นการโพสต์เล่นๆ ไม่มีอยู่จริง คดีอยู่ระหว่างสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน ขณะเดียวกัน ปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลนยังขยายวงขัดแย้ง เมื่อนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) แจ้งความดำเนินคดีต่อนายชัยยุทธ คำคุณ โฆษกกรมศุลกากร ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาฯ กรณีแถลงข่าวมีการส่งออกหน้ากากอนามัย 330 ตัน ในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นการดำเนินการของผู้ประกอบการไม่กี่ราย และกรมศุลกากรอนุญาตให้ส่งออกตามใบอนุญาตของกรมการค้าภายใน ขณะที่ตำรวจออกกวาดจับผู้กักตุนหน้ากากอนามัย ขายเกินราคาและไม่ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่องตามที่เสนอข่าวนั้นความคืบหน้ากรณีปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลน โดยเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 13 มี.ค. ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ระหว่างมาเป็นประธานตรวจยึดพื้นที่ ส.ป.ก.ที่ อ.เมืองกระบี่ กรณีเพจดังแฉคนใกล้ชิดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้น ว่าวันนี้น่าจะได้ข้อสรุป ตอนนี้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตำรวจในการขยายผลทั้งขบวนการ มี ปปง.เข้าร่วมตรวจสอบบัญชียึดอายัดทรัพย์ผู้ที่เกี่ยวข้อง ส่วนนายพิตตินันท์ รักเอียด อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขต 6 จ.สุราษฎร์ธานี พรรคพลังประชารัฐ ได้ปลดออกจากคณะทำงานไปแล้วในฐานะที่ไม่ระวังตัวในการทำงาน การเป็นคณะทำงานต้องระมัดระวังตลอดเวลาในการทำงานแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ต้องประพฤติตนอยู่ในกรอบ ส่วนการขยายผลตอนนี้เชื่อว่าน่าจะถึงต้นตอหมดแล้ว เป็นหน้าที่ของตำรวจในการแถลง ส่วนตัวนายพิตตินันท์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้นขณะที่นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ออกมาเปิดโปงถึงนักการเมืองหญิงที่ปรึกษารัฐมนตรี มีเอี่ยวกับการส่งออกหน้ากากอนามัยว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ แต่การเปิดโปงแบบครึ่งๆ กลางๆ อาจทำให้สังคมสับสนเข้าใจผิดพาดพิงไปยังบุคคลหรือพรรคการเมืองอื่นจนเสียหาย อยากให้เปิดเผยความจริง ระบุชื่อ นามสกุล บุคคลที่เกี่ยวข้องกับคนในขบวนการให้เห็นชัดเจน ถ้ามั่นใจในข้อมูลไม่ต้องกลัวถูกฟ้องร้อง เพราะการที่บุคคลใกล้ชิดรัฐมนตรีเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นการสร้างความเสียหายให้แก่รัฐมนตรีและต่อรัฐบาลโดยรวม ต้องดำเนินการเฉียบขาดไม่ว่าบุคคลนั้นจะเกี่ยวข้องรัฐมนตรีคนไหน กระทรวงใด พรรคการเมืองอะไร เชื่อว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์แน่ แต่ถ้าหากว่าคนใกล้ชิดรัฐมนตรีคนใดมีพฤติกรรมสร้างความเสียหายหรือทุจริตต่อหน้าที่ รัฐมนตรีผู้ลงนามแต่งตั้งจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งให้เป็นที่ยอมรับของสังคม วันเดียวกัน นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการจับกุมดำเนินคดีผู้จำหน่ายหน้ากากอนามัยที่กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ณ วันที่ 12 มี.ค.63 ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้จับกุมผู้กระทำความผิดได้อีก 12 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ และปริมณฑล 6 ราย โดยเป็นการล่อซื้อและจับกุมแผงลอยสำเพ็ง 4 ราย พบขายหน้ากากอนามัยกล่อง 50 ชิ้น กล่องละ 750 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 15 บาท แจ้งข้อหาขายเกินราคาควบคุมที่ 2.50 บาท และข้อหาขายแพงเกินสมควรทั้ง 4 ราย อีกทั้งยังพบที่ร้านค้าเขตดินแดง 1 ราย และผู้ค้าในเขตนนทบุรี 1 ราย เป็นการขายเกินราคาควบคุมและข้อหาขายแพงเกิน สมควร ส่วนในต่างจังหวัด มี 6 ราย ได้แก่ ร้อยเอ็ด 1 ราย ประจวบคีรีขันธ์ 1 ราย สุพรรณบุรี 1 ราย พัทลุง 1 ราย ทั้ง 4 รายขายหน้ากากอนามัย ในราคาชิ้นละ 17-20 บาท แจ้งข้อหาขายหน้ากากอนามัยเกินราคาควบคุมและขายแพงเกินสมควร และที่ปทุมธานีอีก 2 ราย ที่ขายหน้ากากอนามัยราคาแพงเกินสมควร และไม่ปิดป้ายแสดงราคาขายเจลล้างมือปลัดกระทรวงพาณิชย์เผยต่อว่า ที่ตลาดสำเพ็ง มีคนแจ้งเข้ามามากแต่มีปัญหาตอนไปจับ พอไปปิดร้านหนีเอาสินค้าไปซ่อน เจ้าหน้าที่ก็ต้องไปซุ่ม ไปดัก จนเมื่อคืนวันที่ 12 มี.ค. ถึงสามารถจับกุมได้ ขณะที่เปิดร้านขายตอนดึก รวมๆแล้วมีสินค้าที่จับได้ 12,700 ชิ้น ได้จับส่งตัวดำเนินคดีใน 2 ข้อหา ทั้งขายเกินราคาควบคุม มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และค้ากำไรเกินควร จำคุก 7 ปี ปรับ 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วน ผลการจับกุมดำเนินคดี จนถึงวันที่ 12 มี.ค.63 จับได้รวม 135 ราย แบ่งเป็นการจับกุมในเขตกรุงเทพฯ 88 ราย ต่างจังหวัด 47 ราย นอกจากจับกุมหน้ากากอนามัย ยังมีการจับกุมผู้กระทำความผิดขายเจลล้างมือที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบซึ่งเป็นสินค้าควบคุม ในข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาและข้อหาขายแพงเกินสมควร และจับกุมผู้จำหน่ายแอลกอฮอล์ ที่แม้ไม่ได้เป็นสินค้าควบคุมในข้อหาขายแพงด้วย เพราะถือว่าค้ากำไรเกินควร อีกทั้งแอลกอฮอล์ยังเป็นเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ เป็นสินค้าควบคุมในตัวมันเองอยู่แล้วนายบุณยฤทธิ์กล่าวต่อว่า สั่งการให้กรมการค้าภายในและสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพิ่มความเข้มงวดในการจับกุมผู้ค้ากำไรเกินควรในส่วนของเจลล้างมือและแอลกอฮอล์ เหมือนกับที่จับกุมผู้ค้าหน้ากากอนามัยผิดกฎหมาย เพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามามาก ราคาใดที่ถือว่าแพงเกินสมควร สามารถตรวจสอบได้จากเมื่อก่อนขายกี่บาท ปัจจุบันขายกี่บาท เจอที่ไหนจะจับทันที ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านขายยา ห้าง หรือในออนไลน์ ยืนยันว่าแอลกอฮอล์ ไม่ได้มีปัญหาเรื่องขาดแคลน เพราะไทยเป็นผู้ผลิตรายสำคัญ มีวัตถุดิบที่ได้จากมันสำปะหลัง และน้ำตาล และกรมสรรพสามิตได้ปลดล็อกให้นำมาใช้ได้จึงไม่ขาดแคลน และไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลในการปรับขึ้นราคา แต่ถ้ายังมีปัญหาจะมีมาตรการออกมาจัดการ ส่วนผู้บริโภค หากพบขายแพง ขอให้แจ้งมายังสายด่วน 1569 ทันทีเช่นเดียวกับนายพิฆเนศ ต๊ะปวง รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวในวันเดียวกันว่า ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มี.ค. มีข้อร้องเรียนเรื่องหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือทั้งสิ้น 331 ราย ส่วนใหญ่ร้องเรียนเรื่องราคาแพง สั่งซื้อแล้วไม่ได้สินค้า ไม่ได้มาตรฐานและหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้ว ได้จับกุมและดำเนินคดี 63 ราย ล่อซื้อในอินเตอร์เน็ตและดำเนินคดี 8 ราย ส่วนต่างจังหวัดมีการตรวจสอบ 175 ราย ดำเนินคดีแล้ว 8 รายส่วนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร.กล่าวว่า การจับกุมกลุ่มบุคคลที่ลักลอบขายหน้ากากอนามัยเกินราคาในส่วนของ ตร. 88 ราย มีมูลค่าความเสียหาย 2 ล้านกว่าบาท ยึดหน้ากากอนามัยของกลางกว่า 2 แสนชิ้น และมีประชาชนแสดงความคิดเห็นว่า ทำไมไม่นำหน้ากากอนามัยที่ยึดมาได้ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ขอเรียนว่า ตามกฎหมายหน้ากากอนามัยที่ตำรวจยึดมาได้เป็นของกลางในคดีอาญา ดังนั้น การจะ ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดกับของกลางจะต้องรอให้มีคำสั่งศาล จึงจะดำเนินการกับของกลางเหล่านั้นได้ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้า รศ.วีรชัย พุทธวงศ์ หรืออาจารย์อ๊อด นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์เคมี ภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กำแพงแสน ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุเตรียมจะไปฟ้องศาล หลังถูกตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง กักตัวไว้ระหว่างไปให้การตามหมายเรียกในฐานะพยาน กรณีโพสต์ผลตรวจสอบหน้ากากอนามัยที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ แจกจ่ายประชาชนในท้องที่กว่าหลักหมื่นชิ้น แล้วพบว่ามีสารก่อมะเร็งไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้ กระทั่งนายสิระไปแจ้งความกับตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อเอาผิดผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายหน้ากากลอตดังกล่าวแต่เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามรายละเอียดไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ทราบว่า พนักงานสอบสวนได้เชิญอาจารย์อ๊อด มาสอบถามถึงกรรมวิธีการตรวจสอบคุณภาพหน้ากากอนามัยที่นายสิระนำไปแจกจ่ายประชาชน พบว่าเป็นไปตามมาตรฐานอย่างถูกต้อง ส่วนกรณีที่ถูกระบุว่ากักตัวอาจารย์อ๊อดไว้นั้น เป็นการขอให้รอพบนายสิระ คู่กรณีเพื่อพูดคุยกันให้จบปัญหา ไม่ได้เป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยวต่อมานายสิระได้เดินทางเข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.สหรัตน์ หลวงสิริธนสิน รอง สว. (สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง ให้ดำเนินคดีกับ รศ.วีรชัย หลังออกมาระบุว่าตรวจพบสารก่อมะเร็งในตัวอย่างหน้ากากที่แจกจ่ายให้กับประชาชน เป็นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้เกิดความแตกตื่นในหมู่ประชาชน จงใจทำลายชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของตน จึงมาแจ้งความไว้เป็นหลักฐานเตรียมฟ้องแพ่งและอาญาต่อไป มีรายงานด้วยว่า ขณะที่นายสิระมาแจ้งความ ได้พบกับอาจารย์อ๊อด คู่กรณี ที่หน้าห้องประชาสัมพันธ์บนโรงพัก นายสิระได้ปรี่เข้าไปต่อว่าที่ทำให้ตัวนายสิระเสียหาย พร้อมซักถามว่าไปรับจ้างใครมาหรือไม่ ขณะที่อาจารย์อ๊อดไม่ตอบโต้พยายามจะขอปลีกตัวไปเซ็นชื่อคำให้การในห้องพนักงานสอบสวน โดยมีนายสิระเดินตามไปต่อว่าตลอดเวลาที่อยู่ในห้องพนักงานสอบสวนก่อนที่อาจารย์อ๊อดจะเดินทางกลับส่วนนายสิระ หลังแจ้งความเสร็จเดินทางต่อไปที่ย่าน รพ.ศิริราช เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบร้านขายยาในย่านดังกล่าว 3 ร้าน ตามที่นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ระบุว่าหน้ากากอนามัยถูกกระจายไปในจุดต่างๆ และมีเพียงพอในการจำหน่ายให้ประชาชนก่อนเปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่พบว่า อธิบดีกรมการค้าภายในกำลังโกหกประชาชน เพราะทุกร้านไม่มีหน้ากากอนามัยจำหน่าย ทั้งนี้ ในวันที่ 16 มี.ค.จะแจ้งความดำเนินคดีอธิบดีกรมการค้าภายใน นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ด้านเจ้าของร้านยาแห่งหนึ่งเปิดเผยว่า ในส่วนของหน้ากากอนามัยที่มาจากประเทศจีน มีราคา 2.50 บาทอยู่แล้ว แต่ขณะนี้ไม่มีเข้ามา แต่คาดว่าหลังจากนี้จะมีของเข้ามา เพราะสถานการณ์ที่ประเทศจีนเริ่มคลี่คลาย สำหรับที่ร้าน ล่าสุดมีหน้ากากอนามัยเข้ามาเมื่อช่วง ม.ค.63 อยากให้คนในรัฐบาลที่ทะเลาะกันอยู่เลิกทะเลาะกันแล้วมาแก้ไขปัญหา เพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน