(ภาพ) วาชิณี ยศปัญญาจากการเสวนาโครงการวิจัยท้าทายไทย : กลุ่มกระบวนการยุติธรรมรองรับ 4.0 แผนงานวิจัยเพื่อพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรมทางกฎหมาย นิติวิทยาศาสตร์ และฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของการอำนวยความยุติธรรมและการบริหารงานยุติธรรม ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง รอง ผอ.สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช.ร่วมกับโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สนับสนุนให้หน่วยงานด้านกระบวนการยุติธรรมมีการปฏิรูปและพัฒนาวิทยาการด้านการอำนวยความยุติธรรมให้เกิดการบูรณาการที่ทันสมัยอยู่เสมอ ทั้งในแง่ของการป้องกัน การปราบปราม การแก้ไขฟื้นฟู และป้องกันเด็กและเยาวชนกระทำผิดซ้ำ หรือกลุ่มที่ไม่เคยกระทำผิดไม่ให้เป็นผู้กระทำผิดรายใหม่ โดยแผนการวิจัยมี 15 โครงการ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนวัตกรรมทางกฎหมาย, กลุ่มนวัตกรรมทางนิติวิทยาศาสตร์ และ 3.กลุ่มนวัตกรรมฐานข้อมูล ซึ่งงานวิจัยส่วนใหญ่บุคลากรในแวดวงตำรวจสามารถนำไปปฏิบัติได้พ.ต.ท.หญิง วาชิณี ยศปัญญา จาก ร.ร.นายร้อยตำรวจ เปิดเผยผลการวิจัยเรื่องการพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนคดีเด็กและเยาวชน ว่า งานวิจัยได้เสนอต่อคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายให้แก้ไขข้อกฎหมายประเด็นเร่งด่วน ได้แก่ ป.วิอาญา มาตรา 133 ทวิ โดยแก้ไขให้การถามปากคำผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กและเยาวชน ให้สอบสวน ณ ที่ทำการของพนักงานสอบสวน และให้พนักงานสอบสวนได้รับค่าตอบแทนเหมือนกับสหวิชาชีพ และเสนอแก้ไข พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 72 ให้นำตัวเด็กและเยาวชนไปศาลเพื่อตรวจสอบการจับกุม ภายใน 48 ชั่วโมง จากเดิมกำหนดเพียง 24 ชั่วโมงพ.ต.ท.หญิง อัมพิกา ลีลาพจนาพร จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นำเสนองานวิจัยเรื่อง การพัฒนาระบบป้องกันการเสพติดซ้ำของเด็กและเยาวชนโดยการตรวจสารเสพติดในเส้นผม กล่าวว่าจากสภาพปัญหาที่พบ วิธีการตรวจหาสารเสพติดประเภทกัญชาจากปัสสาวะ หากผู้เสพหยุดการเสพ 3 วัน เราจะตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะไม่พบ แต่สามารถตรวจหาสารเสพติดได้จากเส้นผม ย้อนหลัง 3 เดือน ซึ่งวิธีการนี้ส่งผลให้เด็กและเยาวชนในสถานพินิจ ไม่กลับมาเสพยาซ้ำ หรือสามารถนำไปเป็นข้ออ้างไม่เสพยา เมื่อกลับไปสู่ชุมชนเดิม อย่างไรก็ตาม ก็ได้มีเสียงเรียกร้องให้นำวิธีการตรวจหาสารเสพติดไปใช้ในสถานศึกษาด้วย.