แก๊งเสี่ยร้านส้มตำทมิฬหายซ่า ถูกกดดันหนักจนทนไม่ไหว เดินคอตกเข้ามอบตัวกับตำรวจ มือชกอ้างแค้นหนุ่มใหญ่คู่กรณี นำเรื่องค้างค่าแรงญาติชาวลาวไปฟ้อง ตม.จนโดนเรียกคุย ฉุนฟิวส์ขาดพาพวกขับรถตามไล่ทำร้ายเหยื่อหน้าแตกเย็บ 18 เข็ม หลังสอบสวนคุมตัวส่งศาลฝากขังทันที ญาติยื่นเงินสดรายละ 3.2 หมื่นบาทประกันตัวไปสู้คดี รอง ผบช.ภ.1 ชี้เป็นพฤติกรรมป่าเถื่อนสังคมรับไม่ได้ สั่งลุยตรวจฉี่หาสารเสพติด แถมตรวจสอบแรงงานต่างด้าวในร้านมีใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่กลายเป็นประเด็นร้อนกระหึ่มโซเชียลเรียกร้องให้ตำรวจเร่งจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี กรณีมีคลิปชายวัยกลางคนขับรถเก๋งถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ขี่รถ จยย.ปาดหน้าและมีรถกระบะขับมาจอดปิดท้ายจนรถเก๋งต้องยอมจอด จากนั้นกลุ่มชายดังกล่าวกรูกันลงมาล็อกแขนรุมทำร้ายคนขับรถเก๋งอย่างป่าเถื่อน ระหว่างนั้นมีผู้เห็นเหตุการณ์ถ่ายคลิปไว้ได้ พร้อมบันทึกป้ายทะเบียนรถกระบะเป็นเบาะแสให้กับตำรวจ เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเวลา 11.30 น. วันที่ 21 พ.ย. บริเวณซอยบริษัท กรุงเทพน้ำทิพย์ หมู่ 6 ต.สวนพริกไทย อ.เมืองปทุมธานีความคืบหน้าการดำเนินคดีแก๊งโหด เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 23 พ.ย. พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ชยุต มารยาทตร์ ผบก.ภ.จ.ปทุมธานี พ.ต.อ.พงศ์พัชร์ แจ้งหมื่นไวย์ ผกก.สภ.สวนพริกไทย ร่วมแถลงข่าวรับมอบตัวของผู้ก่อเหตุ 3 คน คือ นายธันวา หรือบิ๊ก ทรัพย์สินไพบูลย์ อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 22 ถนนวัฒนธรรมรามัญ 200 ปี ต.บางปรอก อ.เมืองปทุมธานี นายไพโรจน์ หรือหมุด สีทอง อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 89/29 หมู่ 1 ต.สามโคก อ.สามโคก จ.ปทุมธานี และนายรามัญ หรือดำ คงแป้น อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 75/28 หมู่ 1 ต.บางขะแยง อ.เมืองปทุมธานี เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ”พล.ต.ต.ธนายุตม์เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุและมีคลิปแพร่ในสื่อโซเชียล พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1 สั่งการให้ตนลงมาควบคุมคดี พร้อมกับ พล.ต.ต.ชยุต มารยาทตร์ ผบก.ภ.จ.ปทุมธานี เพื่อช่วยเร่งรัดติดตามกลุ่มผู้ก่อเหตุ จากนั้นได้เรียกฝ่ายสืบสวนมาประชุมวางแผนออกติดตามจับกุมผู้ร่วมกระทำความผิดโดยเร็ว กระทั่งทราบว่าผู้ที่ปรากฏตามภาพในคลิปมี 4 คน ตำรวจสืบทราบแหล่งกบดานและเข้ากดดันจนทั้งหมดติดต่อขอเข้ามอบตัวสู้คดีตามกฎหมาย ยกเว้น น.ส.นันท์นภัส หรือแอม ทิพย์กังวานวงศ์ อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 69/127 หมู่ 8 ต.บางคูวัด อ.เมืองปทุมธานี ภรรยาของนายธันวา อ้างไปร่วมงานแต่งงานญาติที่ จ.หนองบัวลำภู หลังเสร็จงานจะรีบมาพบตำรวจจากการสืบสวนทราบว่า วันเกิดเหตุนายสมบัติ นิยมมาก อายุ 52 ปี ผู้เสียหาย เข้าแจ้ง ร.ต.อ.เลิศวรรณ์ อุทัยนาง พนักงานสอบสวน สภ.สวนพริกไทย ว่า ในช่วงเช้าได้นัดเจรจากับนายธันวา เจ้าของร้านอาหารอีสาน จ.ปทุมธานี ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปทุมธานี เรื่องที่นายธันวาค้างค่าจ้างแรงงานของญาติที่เป็นคนลาว เมื่อตกลงและจ่ายเงินค่าจ้างกันเรียบร้อยแล้ว ผู้เสียหายได้ขับรถเก๋งพร้อมภรรยาและลูกมุ่งหน้ากลับบ้าน ขณะมาถึงจุดเกิดเหตุ นายธันวาได้ขับรถกระบะสีดำ ทะเบียน กท 1514 ปทุมธานี มากับ น.ส.นันท์นภัส ภรรยา และนายรามัญ ส่วนนายไพโรจน์ขี่รถ จยย.ทะเบียน 4 กค 345 กรุงเทพมหานคร มาปาดหน้ารถเก๋งผู้เสียหาย กลุ่มของนายธันวาได้มากระชากประตูรถเก๋งดึงตัวผู้เสียหายลงจากรถ นายรามัญเข้าล็อกแขนผู้เสียหายไว้ ส่วนนายธันวาได้กำกุญแจรถต่อยเข้าที่ใบหน้าและยังเตะซ้ำจนผู้เสียหายทรุดลงกับพื้นก่อนหลบหนีไป ผู้เสียหายถูกทำร้ายหน้าแตกเลือดอาบเย็บถึง 18 เข็มพล.ต.ต.ธนายุตม์กล่าวว่า กลุ่มผู้ต้องหามีพฤติกรรมเหิมเกริม ลุแก่อำนาจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย กระทำต่อผู้เสียหายที่อายุมากแล้ว แม้ผู้ต้องหาบางคนจะรับสารภาพ แต่บางคนยังให้การภาคเสธ ได้สั่งให้พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีสอบสวนเพิ่มเติมถึงสาเหตุ ตำรวจต้องหาที่อยู่ให้เหมาะกับคนพวกนี้ เนื่องจากพบว่าบางคนเคยต้องโทษมาก่อนและเป็นคนพื้นที่ จ.ปทุมธานี ยืนยันตำรวจไม่ได้บกพร่องด้านการป้องกัน แต่เป็นเหตุปัจจุบันทันด่วน และหากมีคนที่เกี่ยวข้องมากกว่านี้ ได้สั่งการให้ดำเนินการทั้งหมด พฤติกรรมอย่างนี้สังคมรับไม่ได้ และขอบคุณคนที่ถ่ายคลิปทำให้ตำรวจและสังคมได้รับรู้ อย่างไรก็ตาม ทุกคดีตำรวจจะทำเต็มร้อยและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนได้สั่งให้ตรวจสอบสารเสพติดแล้ว และจะต้องตรวจสอบร้านอาหารว่าถูกกฎหมายหรือไม่ รวมถึงคนงานต่างด้าวที่ทำงานในร้านว่ามีใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่ด้วยส่วนสาเหตุที่กระทำผิดในครั้งนี้ นายธันวารับสารภาพว่า ไม่พอใจและโกรธที่นายสมบัติ ผู้เสียหาย นำเรื่องค้างค่าแรงของญาตินายสมบัติไปแจ้งความต่อตำรวจตรวจคนเข้าเมืองปทุมธานี ยอมรับว่าทำไปด้วยความโมโหและเป็นคนอารมณ์ร้อน หลังแถลงข่าวตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ส่งศาลจังหวัดปทุมธานี พร้อมคัดค้านการประกันตัว ต่อมาญาติได้ใช้เงินสดยื่นประกันตัวในวงเงินคนละ 3.2 หมื่นบาท ศาลพิจารณาอนุญาตให้ประกันตัวไป