กลายเป็นข่าวช็อกโลกตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อ “เจ้าหญิงฮายา บิน อัล ฮุสเซน” พระชายาสุดรักของเจ้านครดูไบ หนึ่งในชีคอาหรับรวยที่สุดติดท็อปเทนโลก หอบทรัพย์สินกว่า 31 ล้านปอนด์ พร้อมพระโอรสและพระธิดา หนีออกจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เยอรมนี โดยไม่แคร์เสียงสาปแช่งไล่หลังจากพระสวามี “ชีคโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักตูม” ที่ประณามออกสื่อโซเชียลว่า คนทรยศ ทำลายความไว้วางใจที่มีค่าที่สุดหลังตบแต่งเป็นพระชายาองค์ที่หกของเจ้านครดูไบ ร่วมเรียงเคียงหมอนกันมา 14 ปี ได้รับการเชิดหน้าชูตากว่าพระชายาองค์ก่อนๆ อะไรคือชนวนเหตุให้ “เจ้าหญิงฮายา บิน อัล ฮุสเซน” ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระขนิษฐาของกษัตริย์จอร์แดนองค์ปัจจุบัน ต้องหลบหนีออกจากวังหลวงดูไบ ก็สุดแท้จะยากเดา (หวังว่าจะไม่หนีตามใครไปอย่างที่มีข่าวลือ) แต่ที่แน่ๆมีความพยายามสร้างสตอรีให้ “ชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักตูม” รองประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กลายเป็นปีศาจร้ายที่กดขี่ทำร้ายลูกเมีย!!โดยโยงกับการหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อปีที่แล้วของ “เจ้าหญิงลาติฟา” พระราชธิดาในเจ้านครดูไบ ซึ่งสุดท้ายก็ถูกจับตัวกลับเข้ากรงทอง หลังพยายามหนีออกจากวังเพื่อไปใช้ชีวิตอย่างเสรีในต่างแดน เรื่องนี้ถูกตีแผ่โดยสำนักข่าวบีบีซี นิวส์ไนท์ ของอังกฤษ มีการเผยแพร่วิดีโอจากปากคำเจ้าหญิงเปิดโปงว่า ในขณะที่เจ้านครดูไบพยายามสร้างภาพให้ดูไบเป็นนครแห่งความทันสมัย เจ้าหญิงเองก็มีสถานะไม่ต่างจากนักโทษในกรงทอง พระองค์และคนอื่นๆในครอบครัวไม่มีเสรีภาพในการใช้ชีวิตเลยทรงเคยพยายามหนีออกจากวังตั้งแต่พระชนม์ 16 ชันษา แต่ก็ถูกจับได้และโดนกุมขังทรมานอยู่นาน 3 ปี อย่างไรก็ดี อดีตข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ “แมรี โรบินสัน” บินมาเยี่ยมเจ้าหญิงลาติฟาถึงวังตามคำเชิญ และได้ออกโรงรับหน้าแทนเจ้านครดูไบว่า อันที่จริงเจ้าหญิงทรงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากครอบครัวมาตลอด ทรงรู้สึกเสียใจที่ก่อเรื่องวุ่นวายในครั้งนี้ก่อนหน้าจะเกิดเรื่องฉาวไปทั่วโลก “ชีคโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักตูม” พระชนมพรรษา 69 พรรษา ทรงได้รับการยกย่องมาตลอดว่าเป็นผู้นำมากวิสัยทัศน์และเด็ดขาด พระองค์คือผู้ปฏิรูปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และกฎหมาย โดยริเริ่มโครงการ “ยูเออี วิชัน 2021” เพื่อมุ่งสร้างยูเออีสู่ความเป็นประเทศที่มีความเป็นเลิศที่สุดในโลก ภายในปี 2021 โดยตลอดเวลาหลายปีที่กุมบังเหียนประเทศ ทรงวางรากฐานทางเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัยอย่างจริงจังต่อเนื่อง ทรงสร้างอาณาจักรธุรกิจไว้หลายอย่างที่เป็นหน้าเป็นตาทำชื่อเสียงให้ประเทศ ภายใต้กลุ่มดูไบ เวิลด์ และดูไบ โฮลดิ้ง ไม่ว่าจะเป็น การเปิดสายการบินเอมิเรตส์ แอร์ไลน์ส และการสร้างเชนโรงแรมหรูระดับหกดาว Jumeirahในยุคของพระองค์ ดูไบยังเป็นที่กล่าวขานในฐานะประเทศที่มีตึกสูงที่สุดในโลก นั่นคือ “เบิร์จ คาลิฟา” อีกทั้งเป็นเจ้าอภิมหาโปรเจกต์มากมายระดับโลก ที่ฮือฮาสุดคงหนีไม่พ้นการสร้างหมู่เกาะเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก “ปาล์ม ไอส์แลนด์” จนกลายเป็นสัญลักษณ์ความโมเดิร์นของโลกอาหรับ ทรงได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์ให้เป็นกษัตริย์ที่มีฐานะร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยมีสินทรัพย์ในครอบครองมากกว่า 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ปัจจุบันจะรวยน้อยลงไปมาก เพราะต้องแบกหนี้ก้อนใหญ่ของยูเออี และภาระการลงทุนมหาศาลในสารพัดอภิมหาโปรเจกต์ระดับโลกที่ทุ่มทุนสร้างไว้ แต่ก็ทรงควักเงินเป็นพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วยเหลือโครงการการกุศลด้านการศึกษาและมนุษยธรรมตั้งแต่เข้ามานั่งบัลลังก์เป็นเจ้านครดูไบ เมื่อปี 2006 ทรงสร้างความเจริญไว้มากมายให้แก่ประเทศและโลกอาหรับ น่าเสียดายที่ต้องมาเสียเกียรติภูมิเพราะโดนเมียรักหักหลังไม่มีชิ้นดี!!มิสแซฟไฟร์