นับเป็นห้วงเวลาแห่งการเจรจาต่อรองอย่างดุเดือด สำหรับช่วงกลางเดือน พ.ย.ที่ผ่านพ้นไป ไม่ว่าเวทีสุดยอดผู้นำอาเซียน และเอเชียตะวันออก ที่สิงคโปร์ ตามด้วยการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก ที่ปาปัวนิวกินีเพราะงานนี้พ่วงมาด้วยโจทย์ยาก สืบเนื่องจากกรณีความขัดแย้งระหว่างสองมหาอำนาจสหรัฐฯ-จีน แย่งชิงความเป็นใหญ่บนผืนพิภพ ทั้งประเด็นการค้า มาตรการตั้งกำแพงภาษีเล่นงานจีนของสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่า 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 8.2 ล้านล้านบาท ที่กระทบกระเทือนไปทั่วโลกไปจนถึงนโยบายความมั่นคงทะเลจีนใต้ของจีน ที่ค่อยๆรุกคืบเกาะพิพาท ทาบอำนาจในมหาสมุทรแปซิฟิกของสหรัฐฯ หรือแม้กระทั่งยุทธศาสตร์รวบอิทธิพล ภายใต้สโลแกน “อเมริกามาก่อน” ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” เบลต์ แอนด์ โรด ของสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ที่ต่างฝ่ายต่างอดไม่ได้ หยิบยกมางัดข้อกันกลายเป็นภาระของอาเซียน (ซึ่งสิงคโปร์เป็นประธาน) และนานาชาติร่วมประชุมช่วยไกล่เกลี่ยหาจุดร่วมระหว่างอำนาจสหรัฐฯ-จีน ซึ่งดูจากแถลงการณ์ที่ออกมาแล้ว ถือว่าทำได้ดี มีการท้วงติงกลายๆถึงข้อเสียของแต่ละฝ่าย แบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะว่าหากเคลียร์ไม่ลงตัวกับชาติใดชาติหนึ่งแล้ว ก็จะลงเอยเหมือนกรณีเอเปก ที่ออกแถลงการณ์ร่วมไม่ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 29ปี สองอำนาจ–นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน เดินสวนนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ หน้าธงชาติไทย ระหว่างการถ่ายภาพหมู่ที่ระลึก ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออกครั้งที่ 13 ที่สิงคโปร์.ในแถลงประชุมเอเชียตะวันออกครั้งที่ 13 (อาเซียน+สหรัฐฯ จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์) ได้มีการใช้คำว่า เห็นถึงความคืบหน้าของการเจรจาเพื่อหาทางจัดตั้งแนวทางปฏิบัติ หรือซีโอซี ในทะเลจีนใต้ ขอเน้นย้ำความจำเป็นในการเพิ่มความไว้ใจ ความมั่นใจ และการใช้ความอดทนอดกลั้น หลีกเลี่ยงการกระทำที่ทำให้สถานการณ์ยุ่งยากเพิ่มขึ้นเราสนับสนุนการแข่งขันผ่านกฎของระบบการค้าแบบพหุภาคี และเห็นถึงความสำคัญของความพยายามที่จะพัฒนาการทำงานขององค์การการค้าโลก หรือดับเบิลยูทีโอ และความสำคัญขององค์การในการตรวจสอบ ตัดสิน และคลี่คลายความขัดแย้ง ทั้งมีความกังวลต่อเรื่องสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง รับรู้ถึงความตั้งใจของประเทศที่จะทำตามข้อตกลงโลกร้อนกรุงปารีส 2558 พร้อมตั้งตาที่จะพัฒนา หาแนวทาง เพื่อนำไปปฏิบัติจริง ในการประชุมกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติค็อป 24 ที่โปแลนด์ เดือน ธ.ค.ใช้ภาษาการทูตขั้นสูง สะกิดสองขั้วขัดแย้ง แสดงจุดยืนไม่เห็นชอบกับการขยายอำนาจทางทะเลของจีน แต่ก็ติงทิศทางของสหรัฐฯ ที่พยายามเขย่าองค์การการค้าสากล เตะถ่วงปัญหาโลกร้อนในขณะเดียวกันจึงนับเป็นกรณีศึกษาที่ควรนำมาปฏิบัติต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศไทย ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพิ่งรับค้อนมาหมาดๆ เตรียมทำหน้าที่ประธานอาเซียนจัดการประชุมในปี 2562 หลังจากเคยบอบช้ำมาแล้วตอนรับหน้าที่ประธานครั้งก่อนในปี 2552 สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง รับช่วงต่อ–พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทักทายที่ประชุมหลังรับค้อนประธานอาเซียน จากนายลี เซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เมื่อ 15 พ.ย.อย่างไรก็ตาม หากตัดประเด็นเรื่องภายในประเทศทิ้งไปแล้ว สิ่งที่น่าจับตาในปีหน้าคือเรื่องข้อตกลงสำคัญ อย่างความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซป) ระหว่างอาเซียนร่วมกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ซึ่งมีจีนเป็นโต้โผใหญ่พยายามผลักดันมาตั้งแต่ปี 2555 และหากสำเร็จจะกลายเป็นข้อตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยไม่มีสหรัฐฯมาอยู่ในสมการเนื่องจากกรณีนี้ถือว่าทางประธานสิงคโปร์โยน “เผือกร้อน” ระบุในแถลงการณ์ร่วมว่า ขอต้อนรับความคืบหน้าในการเจรจาอาร์เซป และเห็นพ้องอย่างพึงพอใจว่าการเจรจาได้มาถึงขั้นตอนสุดท้าย พร้อมขอแสดงความมุ่งมั่นที่จะได้ข้อสรุปร่วมกันในปี 2562 เสมือนบอกจีนกลายๆว่าปีหน้า (ที่ไทยเป็นประธาน) ทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยตามประสงค์ความตกลงอาร์เซปถูกบางชาติท้วงติงว่าเป็นข้อตกลงที่น่าเป็นห่วง เพราะจะเป็นการเปิดตลาดในประเทศให้สมาชิกเข้ามาค้าขายอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มทุนจากจีน และอาจกลายเป็นว่าเศรษฐกิจของชาตินั้นๆขาดจีนไม่ได้อีกต่อไป ทั้งยังมีความไม่ชัดเจนในบางประเด็น เช่น การจ้างงาน การพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ทำให้การเจรจาที่ผ่านๆมา หลายประเทศใช้การบ่ายเบี่ยงประวิงเวลา ด้วยคำว่าขอนำไปศึกษาเพิ่มเติมเช่นเดียวกับข้อสังเกตที่ว่า การประชุมสิงคโปร์ครั้งนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯมาเป็นตัวแทน แต่ครั้งหน้าหากกัปตันอเมริกามาเอง อาจมีเรื่องให้ตื่นเต้นเพิ่มขึ้น เพราะช่วงนั้นทรัมป์ จะเหลือเวลาบริหารประเทศเพียง 1 ปี ก่อนเปิดศึกเลือกตั้งรอบใหม่ ถึงเวลาต้องแสดงบทบาทช่วงชิงคะแนนนิยม.วีรพจน์ อินทรพันธ์