ในจำนวนเรื่องไม่ดีๆ เรื่องบัดสีบัดเถลิงในพาราสาวัตถี สมัยพระไชยสุริยา ก่อนที่ “น้ำป่าเข้าธานี” ถล่มจมเมืองนั้นมีเรื่อง “เจ้าสุภา” รวมอยู่ด้วยสุนทรภู่ พรรณนาไว้ตอนหนึ่งว่า “คดีที่มีคู่ คือไก่หมูเจ้าสุภา ใครเอาข้าวปลามา ให้สุภาก็ว่าดี ที่แพ้แก้ชนะ ไม่ถือพระประเวณี ขี้ฉ้อก็ได้ดี ไล่ด่าตีมีอาญา”ผมอ่านกาพย์บทนี้ตั้งแต่เรียนชั้น ป.เตรียม ตอนนั้นก็แค่สงสัย “เจ้าสุภา” ใครหว่า!โตขึ้นมาก็พอจับความได้ น่าจะ “นาย” สักคน ที่ถืออำนาจตัดสินคดีความรู้จักเจ้าสุภามากขึ้น เมื่ออ่านเรื่องจากลออ ไกรฤกษ์ สู่เจ้าพระยามหิธร ในหนังสือ สืบตำนานสานประวัติ ว.วินิจฉัยกุล (สำนักพิมพ์ทรีบีส์ พ.ศ.2553)“เจ้าสุภา” ก็คือตุลาการ สมัยโบราณ ตั้งแต่อยุธยามาถึงกลางสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ระบบตุลาการโบราณ ไม่มีกระทรวงยุติธรรม ไม่มีศาล ราชการฝ่ายบริหารและตุลาการไม่ได้แยกจากกันการชำระความ โดยเฉพาะความอาญา เป็นเรื่องการใช้อำนาจปกครอง เพื่อปราบปรามลงโทษผู้กระทำผิด กรมไหนๆก็มีหน้าที่ชำระความ ข้าราชการ เป็นตุลาการชำระความในกรมของตัวเองได้หน้าที่ตุลาการ คือ สอบสวนซักถามพิจารณาหาข้อเท็จจริงส่วนข้อกฎหมาย เป็นหน้าที่ของลูกขุน และผู้ปรับคือผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายว.วินิจฉัยกุล บอกว่า สิ่งหนึ่งที่เราไม่ค่อยรู้กัน คือ ข้าราชการหรือขุนนางสมัยโน้น แม้ดูว่ามีหน้ามีตา แต่ความจริงไม่ค่อยมีสตางค์ระบบราชการไม่มีเงินเดือน มีแต่เบี้ยหวัดซึ่งจ่ายปีละครั้งสองครั้ง บางครั้งก็ไม่จ่ายเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นผ้าลายบ้าง เป็นทองคำบ้าง มากน้อยแค่ไหน ก็แล้วแต่ท้องพระคลังจะมีให้สมัยรัชกาลที่ 2 ท้องพระคลังหาเงินไม่ค่อยได้ ต้องติดเบี้ยหวัดขุนนาง จ่ายเป็นผ้าลายแทน ถึงรัชกาลที่ 3 ทรงคิดระบบเจ้าภาษี จึงมีรายได้เข้าสู่พระคลังหลวง ค่อยมีเงินทองมากขึ้นเมื่อขุนนางไม่มีสตางค์ แต่มีลูกเมียมีบริวารต้องเลี้ยงดู ก็จึงไปร้องเรียนขอความเห็นใจจากเจ้ากรม เจ้ากรมก็หาทางออก หางานพิเศษให้ทำ มอบความแพ่งหรืออาญา ให้เป็นตุลาการชำระความที่บ้าน เป็นรายได้พิเศษการชำระความไม่ได้กินเวลาครั้งเดียวจบ ต้องสืบสวนสอบสวนทวนพยานกันนานเป็นปีคู่ความทั้งโจทก์จำเลยพยาน ต้องอพยพมาปลูกกระท่อมค้างอ้างแรมในบริเวณบ้านตุลาการ ต้องหาข้าวปลาอาหารและของใช้มาส่งเสียตัวเอง และก็ต้องเผื่อแผ่ไปเอาใจตุลาการด้วยตุลาการจึงค่อยๆคลายความฝืดเคืองลงได้บ้างคงมีคนสงสัย ระบบเจ้าสุภา เปิดช่องให้ลำเอียง ฝ่ายไหนประเคนให้มากกว่า เจ้าสุภาก็ต้องลำเอียงเข้าฝ่ายนั้น ทางออกเรื่องนี้ เป็นที่มาของกระบวนการอุทธรณ์อุทธรณ์สมัยโบราณ เป็นการอุทธรณ์ว่า เจ้าสุภาตัดสินไม่ยุติธรรม ตุลาการในขั้นนี้จึงต้องเปลี่ยนบทเป็นจำเลย เมื่อตุลาการขั้นสูงกว่า ตัดสินว่าผิด ก็ต้องรับโทษสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เจ้าสุภาจึงต้องดิ้นรนที่พึ่ง ซึ่งก็คือตุลาการชั้นสูงกว่าระบบตุลาการแบบเจ้าสุภา เป็นหนึ่งในข้อหาเมืองไทยไม่ศิวิไลซ์ ปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูประบบตุลาการ ตั้งศาลยุติธรรมแบบสากล เอาเมืองไทยรอดจากบ่วงฝรั่งล่าอาณานิคมมาได้เรื่องแบบที่สุนทรภู่เปรียบเปรยไว้ในกาพย์พระไชยสุริยา “ใครเอาข้าวปลามา เจ้าสุภาก็ว่าดี” ไม่มีในระบบตุลาการสมัยนี้แล้ว.กิเลน ประลองเชิง