ใครว่าคุกเข้าได้ง่ายๆ คงต้องคิดใหม่ แต่ไม่จำเป็นต้องทำใหม่ ถ้าทำดีอยู่แล้ว“สกู๊ปหน้า 1” ไทยรัฐ รับเชิญเข้าไปใน “เรือนจำกลางบางขวาง” เพื่อไปดูกิจกรรมปิดโครงการ “ปั้นดินให้เป็นบุญ” เรือนจำแห่งนี้ถือเป็น อภิมหาวิทยาลัยของผู้ต้องขัง เพราะมีขนาดใหญ่ ผู้ที่เข้าไปอยู่ได้จะต้องได้รับโทษหนัก ทำให้ระบบการป้องกันแน่นหนา แข็งแรง และเต็มไปด้วย เจ้าหน้าที่คอยระวังคุกเข้ายากอย่างไร เริ่มกันที่ประตูทิศตะวันตก เหนือกรอบประตูเขียนอักษรตัวโตๆ ว่า “เรือนจำบางขวาง” เบื้องล่างประตูแน่นหนา เจ้าหน้าที่หลายนายเฝ้าดูแลอย่างชนิดไม่กะพริบตา เจ้าหน้าที่เปิดประตูใหญ่ให้ก้าวเข้าไป แล้วพูดเสียงดังฟังชัดว่า ให้เก็บอุปกรณ์ต่างๆที่ติดตัวมา ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสตางค์ บุหรี่ ไฟแช็ก และนาฬิกาชนิดที่ถ่ายภาพได้ออกจากตัว นำเอาไปใส่ล็อกเกอร์แล้วให้เก็บกุญแจไว้หลังจากนั้นเดินผ่านช่องสแกน ถอดรองเท้าสแกนและตรวจสิ่งของในตัวผู้เข้าไปทุกคนอย่างละเอียด คล้ายๆผ่านช่องตรวจคนก่อนขึ้นเครื่องบิน ผ่านด่านแล้วต้องเอาอุปกรณ์ที่ติดตัวเท้าไปได้อย่าง กล้องถ่ายภาพ สมุด ปากกา ทุกชิ้นวางลงบนโต๊ะให้เจ้าหน้าที่ถ่ายภาพแล้วพากันชักแถวเข้าไปอีก 1 ประตู ระหว่างทางทอดตัวสู่แดนต่างๆ สองฟากฝั่งมีแนวห้องคล้ายระเบียงยาว ด้านในผู้ต้องขังนั่งถือโทรศัพท์คุยกับญาติที่มาเยี่ยม จะด้วยระบบเสียงไม่เสถียรในบางเครื่อง หรือเพราะญาติพูดเสียงดังก็ไม่อาจทราบได้ เสียงจึงดังออกมาให้คณะของเราได้ยินชัดเจนก่อนสู่แดนต่างๆ ต้องผ่านประตูขนาดใหญ่อีก 1 ประตู สังเกตได้ว่าด้านบนเป็นหอคอยสูงเป็นสัญลักษณ์ของเรือนจำกลางบางขวาง เดินช้าๆ ผ่านแดนต่างๆ ไปประมาณ 200 เมตรก็เลี้ยวเข้าประตูขนาดเล็กไปยัง “หอประชุมเรือนจำกลางบางขวาง”หอประชุมแห่งนี้คือ ศูนย์เรียนรู้ของผู้ต้องขัง และทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อการศึกษา ข้างหอประชุมมีสนามหญ้าขนาดใหญ่ เขียวขจี ริมกำแพงมีคำ “เขตอันตราย” และ “เขตหวงห้าม” แสดงไว้ให้รู้ว่า อย่าเข้าไปใกล้กำแพงนั้น อาจเพราะกลัวผู้ต้องขังหนี หรือเหตุใดก็ไม่อาจทราบได้ เรือนจำกลางบางขวาง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีพระราชดำริไว้ แต่ไม่ทันได้สร้าง เนื่องจากเหตุการณ์บางอย่าง ต่อมาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2470 แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2474 ชื่อแรกคือ “เรือนจำมหันตโทษ” ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “เรือนจำกลางบางขวาง” เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2484ปัจจุบันมีผู้ต้องขังจำนวน 5,170 คนผู้ต้องขังชั้นดี และสนใจใฝ่เรียนรู้จะมีโอกาสออกมาศึกษาเรียนรู้ที่ศูนย์เรียนรู้ฯ กิจกรรมส่วนหนึ่งที่เรียนรู้คือ “ปั้นพระพุทธรูป” โครงการนี้ อรสม สุทธิสาคร นักเขียนสารคดีผู้นำโครงการเข้าไปกล่าวช่วงปิดโครงการว่า กิจกรรมปั้นพระพุทธรูปเป็นการเยียวยาจิตใจ ฝึกผู้ต้องขังมาแล้วถึง 3 รุ่นรุ่นที่ 3 นี้ หล่อพระพุทธรูปออกมาจำนวน 59 องค์ เจ้าหน้าที่จะอัญเชิญ ไปประดิษฐานตามวัดต่างๆต่อไปพระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) รองเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร แสดงธรรมเทศนาเรื่องศีล 5 บอกว่า ศีลแปลว่าปกติ การอาราธนาศีล เท่ากับการปฏิญาณตนว่าจะเป็นคนปกติ การปฏิบัติตามศีล 5 เท่ากับการเป็นคนปกติผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง นายโสภณ ยิ้มปรีชา บอกว่า โครงการ “ปั้นดินให้เป็นบุญ” เป็นโครงการแก้ปัญหาใจของผู้ต้องขัง ปัจจุบันนี้ผู้ต้องขังในแดนต่างๆ มีกว่า 5,000 คน ทั่วประเทศมีราว 330,000 คน ถือว่าเป็นจำนวนมาก “ถ้าเราไม่แก้ปัญหาที่ใจคน แก้ปัญหาเศรษฐกิจ จำนวนผู้ต้องขังอาจจะเพิ่มขึ้นอีก”ปัญหาสังคมปัจจุบัน นายโสภณบอกว่า สาเหตุมาจากคนห่างวัดห่างวา พ่อแม่ทำงานทิ้งลูกให้อยู่กับเครื่องมือสื่อสารยุคใหม่ ไม่มีเวลาบ่มเพาะนิสัยลูก ทำให้เด็กไม่รู้ดีรู้ชั่ว บางคนไม่มีศาสนาในใจ ทำให้ไม่มีหลักยึด การเข้ามาอยู่ในเรือนจำ ไม่ใช่เราคืนคนเดิมออกไป ต้องคืนคนดีออกไปสู่สังคม ด้วยการพยายามหาอาชีพให้เขาติดตัวไป เขาต้องการประกอบอาชีพอะไร ถ้าเราไม่มีเจ้าหน้าที่สอน เราจะประสานครูบาอาจารย์จากภายนอกเข้ามาสอน เราต้องคิดถึงโลกปัจจุบัน ต้องประยุกต์ของเก่าเข้ามาใช้กับปัจจุบัน ภายในเรือนจำ “นโยบายของอธิบดีและของเราคือ อย่าไปข่มเหงรังแก อย่าไปทำร้าย เพราะศาลตัดสินแล้วส่งมาให้เราดูแล เมื่อเข้ามาเราต้องไม่ทุบตี ต้องบริหารใจของเขาไปเรื่อยๆ ผมอบรมเจ้าหน้าที่ไว้ก่อน ถ้าใครทำผิดพลาดอะไร เราก็ต้องเรียกมาทำความเข้าใจก่อน เราต้องให้ความปลอดภัยและเปลี่ยนเขาเป็นคนดีคืนสู่สังคม”เรื่องงบประมาณ “เราต้องไม่คิดถึงงบประมาณ แต่ต้องทำให้บรรลุผล อาจมีส่วนอื่นๆเข้ามาช่วย เราต้องให้เขาปรับตัวให้ได้ ถ้าเขาปรับตัวไม่ได้เมื่อออกไปสังคมก็จะไม่ยอมรับ นั่นเขาอาจจะกลับไปเดินบนเส้นทางเดิมได้ เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันทั้งคนในสังคม บ้าน และห้างร้านต้องเปิดโอกาสให้ มองเขาในด้านบวก”เรือนจำ “เราบริการให้ทั้งญาติและผู้ต้องขัง ระหว่างที่เดินเข้ามาจะเห็นญาติเข้ามาเยี่ยมผู้ต้องขัง เราเปิดโอกาสให้พูดคุยกัน พบปะกัน นอกจากนี้ เรายังนำผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ออกไปบริการสังคม ให้ความรู้กับนักเรียนในสถาบันต่างๆ ให้รู้ว่าการมาเป็นผู้ต้องขังนั้น ต้องถูกจำกัด สิทธิ์อย่างไรบ้าง เยาวชนจะได้รู้และเข้าใจ รู้จักยับยั้งชั่งใจในการกระทำที่สุ่มเสี่ยง”เมื่อถามถึงเรื่องการศึกษา ผู้บัญชาการเรือนจำกลางบอกว่า “เราเปิดโอกาสให้กับคนที่ต้องการเรียนรู้จริงๆ สายอาชีพมีอาชีพต่างๆ อาทิ ช่างไม้ ช่างโลหะ วาดภาพ ส่วนสายวิชาการ เราเริ่มให้เรียนตั้งแต่คนไม่รู้หนังสือเลย จนกระทั่งมีคนจบปริญญาโทไปหลายคนแล้ว คนที่จะเรียนมีข้อแม้อยู่ว่า ต้องเป็นผู้ประพฤติดี ต้องใช้ทุนตัวเอง เมื่อก่อนมีทุนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คนที่ไม่ได้ทุนก็เรียนได้เพราะค่าใช้จ่ายไม่ได้แพง” ดูจากประวัติผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง พบว่าผ่านเรือนจำขนาดใหญ่มาหลายแห่ง ทำไมถึงได้รับการคัดเลือกให้ไปดำรงตำแหน่ง มีหลักการบริหารอย่างไรนั้น ผบ.บอกว่า “ผมเรียนมาสายครู ผมมองผู้ต้องขังทุกคนเหมือนลูกศิษย์ หลักในการบริหารงานก็คือ ยึดหลักศีล 5 และหลักธรรมชาติ ศีล 5 ทำให้คนเป็นคนปกติ ส่วนธรรมชาตินั้น ธรรมชาติของคนมีผิดมีถูก ใครทำถูกเราก็ส่งเสริม ใครทำผิดเราก็ตักเตือนเขาก่อน”อีกประการหนึ่งคือ “สถานที่ต้องสะอาด เมื่อสถานที่สะอาดใครมองก็มีความสุข ความสะอาดนั้น ต้องสะอาดสถานที่และสะอาดใจ อาหารการกินก็ต้องดูแล ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา” และ “ต้องไม่ลืมว่า ผู้ต้องขังแม้อาจจะมีคนมองเขาเป็นอาชญากร แต่อย่าลืมว่าญาติพ่อแม่ มองเขาว่าเป็นลูกที่รักของเขา เจ้าหน้าที่ต้องเอาใจใส่ดูแลเขาเป็นอย่างดี”ผบ.เรือนจำกลางบางขวางย้ำว่า เมื่อเห็นว่าเป็นผู้กระทำผิด ต้องไม่คิดผลักไสเขาออกไป เพราะอาจจะเป็นปัญหาไปสุมที่อื่น “เราต้องแก้เขา เขาอาจจะมีปัญหาชีวิต ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว เจ้าหน้าที่เมื่อพบเขากระทำผิดก็ต้องเรียกเขามาพูดคุย เพื่อแก้ปัญหา แต่พวกเหลือขอจริงๆ ก็ค่อยว่ากันไป”กิจกรรมปิดโครงการ “ปั้นดินให้เป็นบุญ” นอกจากมีพระมาแสดงพระธรรมเทศนาและนักเขียนมาให้กำลังใจผู้ต้องขังแล้ว ยังมีวงดนตรี “หงา คาราวาน” มาบรรเลงด้วย สุรชัย จันทิมาธร หรือหงา บอกว่า “ดนตรีช่วยได้ในเรื่องกล่อมเกลาจิตใจ ให้อยู่กับโลกความเป็นจริง ส่วนสำคัญน่าจะอยู่ที่การให้กำลังใจกัน”คณะของเราเข้าเรือนจำกลางบางขวางไม่กี่ชั่วโมงก็จากลา ยังรู้สึกได้ถึงความไม่สะดวกกายสบายใจ คนที่อยู่ในเรือนจำ 10 หรือ 20 ปี แน่นอนเหลือเกินว่าต้องการ “กำลังใจ”วันใดที่พ้นเรือนจำออกมา นอกจากต้องให้กำลังใจแล้ว ยังต้องให้โอกาสอีกด้วย.