หลังแพ้การเลือกตั้งย่อยยับเมื่อ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา อดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค แห่งมาเลเซีย ซึ่งกุมอำนาจมา 9 ปี ถูกกรรมเก่าตามเล่นงานไม่หยุด เพราะถูกรัฐบาลใหม่ของนายกฯ มหาธีร์ โมฮัมหมัด ผู้นำเหล้าเก่าในขวดใหม่ เร่งไล่ล่า “เช็กบิล” อย่างต่อเนื่องเมื่อ 3 ก.ค. นายนาจิบ วัย 64 ปี ถูกเจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามคอร์รัปชัน (เอ็มเอซีซี) บุกจับกุมที่บ้านพักในข้อหาพัวพันการทุจริตในกองทุน “1 เอ็มดีบี” อันอื้อฉาว หลังนอนห้องขัง 1 คืน ก็ถูกส่งฟ้องศาลทันทีด้วยข้อหาอาญา 4 กระทง คือ กระทำความผิดต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 3 กระทง และใช้อำนาจในทางมิชอบ 1 กระทงข้อกล่าวหาเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในการสอบสวนคดีรับสินบนราว 42 ล้านริงกิต (330 ล้านบาท) ผ่านอดีตหน่วยงานของ 1 เอ็มดีบีที่ชื่อว่า “เอสอาร์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล” แต่ละข้อหามีโทษจำคุก 20 ปี และมีโทษโบยด้วย ซึ่งนายนาจิบยืนกรานปฏิเสธ และได้รับการประกันตัวในวงเงิน 1 ล้านริงกิต (ราว 8 ล้านบาท) แต่ถูกศาลสั่งยึดพาสปอร์ตทางการทูต 2 ฉบับ ป้องกันหนีออกนอกประเทศ และมีกำหนดเริ่มพิจารณาคดีใน 18 ก.พ.ปีหน้า รับกรรมเก่า – อดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค แห่งมาเลเซีย (ใส่สูท) ทักทายผู้สนับสนุนขณะออกจากศาลในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อ 4 ก.ค. หลังถูกฟ้อง 4 กระทง ในคดีคอร์รัปชันที่เกี่ยวข้องกับกองทุน “1 เอ็มดีบี” (รอยเตอร์)ส่วนคดีคอร์รัปชันใหญ่ในกองทุนเพื่อการลงทุนแห่งชาติ “วันเอ็มดีบี” (1 MDB) ซึ่งนายนาจิบก่อตั้งขึ้นในปี 2552 นั้น สหรัฐฯระบุว่า มีการยักยอกฟอกเงินมหาศาลถึง 4,500 ล้านดอลลาร์ และกว่า 700 ล้านดอลลาร์ ถูกโอนเข้าบัญชีนายนาจิบเองด้วย ขณะที่หลายชาติรวมทั้งสหรัฐฯ สวิตฯ สิงคโปร์ ก็สอบสวนคดีนี้อยู่นอกจากไล่ล่าเช็กบิลนายนาจิบและพวกพ้องบริวารในคดี “1 เอ็มดีบี” รัฐบาลมหาธีร์ยังสั่งทบทวนและยกเลิก “เมกะโปรเจกต์” โครงการยักษ์ใหญ่ต่างๆที่ทำไว้สมัยรัฐบาลนายนาจิบ ชนิด “ล้างบาง” กันเลยทีเดียวเมื่อ 5 ก.ค. มหาธีร์ก็สั่งระงับ “เมกะโปรเจกต์” 3 โครงการใหญ่ที่ทำไว้กับ “จีน” มูลค่าถึง 22,350 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 737,550 ล้านบาท) นั่นคือโครงการสร้างท่อส่งก๊าซ 2 โครงการที่ทำไว้กับบริษัท “ไชน่า ปิโตรเลียม ไพพ์ไลน์ บูโร” และโครงการสร้างรางรถไฟ “อีสต์ โคสต์ เรล ลิงค์” ยาว 688 กิโลเมตร เชื่อมฝั่งตะวันออกกับชายแดนไทยไปถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งผู้รับสัมปทานหลักคือ บริษัท “ไชน่า คอมมิวนิเคชั่น คอนสตรัคชั่น” ของจีนทั้ง 3 โครงการนี้เป็นหนึ่งในหลายโครงการที่รัฐบาลนายนาจิบลงนามไว้กับจีน โดยมหาธีร์อ้างว่าต้องระงับโครงการเหล่านี้เพื่อ “ลดหนี้สาธารณะ” ของประเทศที่สูงถึง 250,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 8,250,000 ล้านบาท) และหนี้อื่นๆ แต่ชี้แจงว่าไม่ได้เจาะจงไปที่ “ประเทศใดประเทศหนึ่ง” ซึ่งคงหมายถึงจีนแต่อย่างใดถึงจะชี้แจงอย่างไร แต่เรื่องนี้ย่อมทำให้จีนวิตกกังวลและไม่พอใจจนอาจกระทบความสัมพันธ์ที่เคยดีสุดๆสมัยนายนาจิบ ซึ่งมีการลงนามข้อตกลงโครงการต่างๆ กับจีนไว้มากมาย แต่หลายโครงการถูกโจมตีว่าไม่โปร่งใส ทำให้มีข้อครหาว่านายนาจิบลงนามโครงการต่างๆกับจีน เพื่อให้จีนช่วยจ่ายหนี้ของกองทุน “1 เอ็มดีบี” จำนวนมหาศาล หลังถูกยักยอกเงินไปจนไม่สามารถชำระหนี้ถึง 11,000 ล้านดอลลาร์ได้ เตรียมเคลียร์จีน – ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เดินเข้าห้องแถลงข่าวที่เมืองปุตราจายา เมื่อ 6 ก.ค. ประกาศว่าจะเดินทางเยือนจีนในเดือน ส.ค.นี้ เพื่อเจรจาเรื่องเงื่อนไขที่ไม่ยุติธรรมในเมกะโปรเจกต์ต่างๆ กับจีนที่เขาเพิ่งสั่งระงับ (เอพี)ในช่วงหาเสียง มหาธีร์ประกาศว่าจะทบทวนข้อตกลงต่างๆกับจีนที่น่าสงสัย และเคยโจมตีว่ารัฐบาลนายนาจิบ “ขายชาติ” ให้จีน ดังนั้น เขาจึงต้องพยายาม “เคลียร์” ปัญหาคาใจกับจีน โดยมีกำหนดเดินทางไปพบประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในเดือน ส.ค.นี้ ซึ่งประเด็นหารือหลัก รวมทั้งเรื่องเงื่อนไขสัมปทานเมกะโปรเจกต์ที่ลงนามกันไว้ ซึ่งมหาธีร์เห็นว่า “ไม่ยุติธรรม” ไปจนถึงเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากจีนเพื่อสร้างโครงการเหล่านี้ ซึ่งมหาธีร์ระบุว่า “สูงมาก” สูงกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ของรัฐบาลมาเลเซีย ที่ปกติไม่เกิน 3% เท่านั้นหลังขึ้นรับตำแหน่งผู้นำรอบ 2 เมื่อเดือน พ.ค. มหาธีร์ก็สั่งระงับโครงการสร้างรางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมมาเลเซียกับสิงคโปร์ มูลค่า 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 561,000 ล้านบาท) ซึ่งตกลงกันไว้สมัยรัฐบาลนายนาจิบเมื่อหลายปีก่อน ขณะที่นักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น และยุโรป ต่างจ้องแข่งขันประมูลโครงการนี้อยู่ตาเป็นมันมหาธีร์อ้างว่าค่าใช้จ่ายสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมกรุงกัวลาลัมเปอร์กับสิงคโปร์นั้น “แพง” เกินไป และต้องการลดหนี้สาธารณะของประเทศด้วย แต่มูลเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะเห็นว่ามาเลเซีย “เสียเปรียบ” สิงคโปร์ ซึ่งจะเป็น “เสือนอนกิน” มีรางรถไฟเชื่อมจากจีนไปถึงสิงคโปร์ชนิดไม่ต้องลงทุนมากมายโครงการรถไฟความเร็วสูงที่ว่านี้ครอบคลุม 5 ประเทศ เริ่มจากเมืองคุนหมิงในมณฑลยูนนานทางภาคใต้ของจีน ผ่านกรุงเวียงจันทน์ของลาว มายัง จ.หนองคาย และเชื่อมต่อไปภาคใต้ของไทย ต่อไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซียก่อนเข้าสู่สิงคโปร์ รวมระยะทางทั้งหมดราว 3,900 กิโลเมตร เป็นส่วนหนึ่งในแผนการสร้าง “ระเบียงเศรษฐกิจจีนกับอินโดจีน” (China Indochina Peninsula Economic Corridor)ระเบียงเศรษฐกิจจีนกับอินโดจีนและรถไฟความเร็วสูงสายนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์หลัก “เส้นทางสายไหมยุคใหม่แห่งศตวรรษที่ 21” หรือ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (One Belt, One Road-อี้ไต้ อี้ลู่) อันทะเยอทะยานของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งจะเชื่อมต่อไปยังเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง รัสเซีย จนถึงยุโรป ซึ่งจีนกำลังผลักดันอยู่อย่างเข้มข้นทุกวิถีทางจีนคงไม่ยอมให้มาเลเซียล้มโครงการรถไฟความเร็วสูงในส่วนของตนง่ายๆแน่ เพราะจะกระทบแผน “อี้ไต้ อี้ลู่” โดยรวมด้วย ดังนั้น มหาธีร์จะเคลียร์กับจีนอย่างไรจึงน่าติดตามอย่างยิ่ง!บวร โทศรีแก้ว