ภาษีสรรพสามิตใหม่ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 16 กันยายน 2560 เป็นการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตครั้งใหญ่ เปลี่ยนการเก็บภาษีจาก ราคาหน้าโรงงาน (ที่มีรูรั่วใหญ่) เป็น ราคาขายปลีก ทำให้เก็บภาษีได้เต็มเม็ดมากขึ้น โดยมีสินค้า 4 กลุ่ม ที่มีภาระภาษีเพิ่มขึ้น คือ กลุ่มเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ กลุ่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ กลุ่มยาสูบ กลุ่มรถหรูนำเข้าคันละ 10 ล้านบาทขึ้นไปการขึ้นภาษีสรรพสามิตครั้งนี้ รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 12,000 ล้านบาท จาก เหล้าเบียร์ 5,000 ล้านบาท จาก เครื่องดื่มที่มีความหวาน 2,500 ล้านบาท จาก บุหรี่ยาสูบ 2,100 ล้านบาท จาก รถยนต์หรู 2,200 ล้านบาท ที่เหลือเป็นกลุ่มอื่นๆที่มีกำไรมากผมเห็นด้วยที่รัฐบาลปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต เก็บภาษีจากราคาขายปลีก แทนการเก็บจากราคาหน้าโรงงาน ทำให้รัฐบาลได้ภาษีตามราคาขายจริง การเก็บภาษีจากราคาหน้าโรงงาน ผู้ประกอบการมักจะ ตั้งราคาหน้าโรงงานต่ำมากๆ เพื่อให้เสียภาษีน้อยๆ แล้วขายปลีกในราคาแพง เพื่อเอากำไรเยอะๆแต่ที่ผมรู้สึกเสียดายก็คือ รัฐบาลยังคง “เห็นแก่เงินภาษี” มากกว่าเห็นแก่ “สุขภาพคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน” โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รัฐยังปล่อยให้ประชาชนเสี่ยงตายเหมือนเดิม แม้จะมีการขึ้นภาษี แต่ ไม่จำกัดปริมาณสูงสุดของน้ำตาลและแอลกอฮอล์ ในเครื่องดื่มสองกลุ่มนี้“ความหวาน” ทำให้เกิดโรคร้ายคือ โรคอ้วน โรคหัวใจ และหลอดเลือด โรคอ้วนนี่ต้องบอกว่า ความหวานทำให้อ้วนทันตาเห็นจริงๆ ใครไม่เชื่อลองกินขนมหวานหลายอย่างหลังอาหารเย็นดูได้ กินเสร็จไปชั่งน้ำหนักได้เลย ขึ้นเป็นกิโลทันทีองค์การอนามัยโลก ให้คำแนะนำเอาไว้ว่า ให้กิน “น้ำตาล” ได้วันละไม่เกิน 6 ช้อนชา แต่จากข้อมูลของ โกลบอล อกรีคัลเจอรัล อินฟอร์เมชั่น เน็ตเวิร์ก พบว่า ปี 2557 คนไทยบริโภคน้ำตาลสูงถึงวันละ 28.4 ช้อนชา สูงกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกถึง 4.7 เท่า จึงทำให้เกิดโรคอ้วนโรคหัวใจกันมากมายไปดู โครงสร้างภาษีความหวาน กันเสียหน่อยนะครับโครงสร้างเดิม ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% +ภาษีสรรพสามิตราคาหน้าโรงงาน 20% โครงสร้างใหม่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%+ภาษีสรรพสามิตราคาแนะนำ (ภาระภาษีเท่าเดิม)+ภาษีตามปริมาณน้ำตาล (อัตราก้าวหน้า 6 ระดับ) เครื่องดื่มที่มีความหวานต่ำกว่า 6 กรัมต่อ 100 มล. ไม่ต้องเสียภาษีความหวาน เครื่องดื่มที่มีความหวานตั้งแต่ 8-10 กรัมต่อ 100 มล.ขึ้นไป เสียภาษีในอัตราก้าวหน้า ยิ่งมีความหวานมาก ต้องเสียภาษีมากแต่ที่น่าตกใจก็คือ เครื่องดื่มชา ชาเขียว กาแฟกระป๋อง น้ำอัดลม ที่วางขายอยู่ในเมืองไทย มีความหวานของน้ำตาลสูงกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกมาก เครื่องดื่มบางชนิดมีการผสมมะนาว ทำให้ดูเหมือนดีต่อสุขภาพ แต่ใส่น้ำตาลสูงถึง 10 ช้อนชา บางชนิดใส่น้ำตาลถึง 14 ช้อนชา สูงกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกถึงสองเท่าการปรับโครงสร้างขึ้นภาษีสรรพสามิตครั้งนี้ ผมจึงบอกว่า รัฐบาลงกเงิน รีดภาษีเพิ่ม 12,000 ล้านบาท แต่ให้ประชาชนเสี่ยงตายเหมือนเดิม ความจริงรัฐบาลมีอำนาจบังคับให้ผู้ประกอบการ “จำกัดปริมาณน้ำตาล” และ “ปริมาณแอลกอฮอล์” ในเครื่องดื่มเพื่อ “คุ้มครองสุขภาพของประชาชน” ได้อยู่แล้ว แต่รัฐบาลก็ไม่ทำ กลับทำเพื่อเงินผมก็ได้แต่ฝากความหวังไว้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะสั่งให้แก้ไขเพิ่มเติม โดยยึดเอา “สุขภาพของประชาชน” เป็นหลัก จะช่วยรัฐบาลประหยัดค่ารักษาพยาบาลในอนาคตได้มหาศาล เลยทีเดียวไหนๆก็เดินมาถูกทางแล้ว ก็เดินไปให้สุดทางเลย อย่าเดินไปแค่ครึ่งๆกลางๆ.“ลม เปลี่ยนทิศ”