อ.ธีระยุทธ กิตตินภวัฒน์แรงกายและแรงใจที่อาจารย์ธีระยุทธ กิตตินภวัฒน์ รองผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทศบาล ๑ (บ้านท่าตะเภา) ตำบลท่าตะเภา อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ทุ่มเทให้เด็กนั้น ผลิดอกผลงดงามทั้งต่อตัวอาจารย์เองและเด็กๆในวงการดอกไม้ใบตอง สำหรับอาจารย์อย่างธีระยุทธ งานประกวด เย็บร้อยค่อยจีบ ประดิษฐ์ใบตองระดับชาติ ของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต เป็นงานหนักที่สุดเมื่อปี 2553 ตอนนั้นยังชื่องานนิทรรศการ วิจิตรการงานใบตอง กรองร้อยมวลมาลี ส่งไป 3 รายการ มีวิจิตรการมาลัยมือพวงน้อย วิจิตรการกระทงน้อยลอยนที วิจิตรการกรองร้อยมาลัยมือ“เราไปเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง” ธีระยุทธบอก “ปรากฏว่าได้ที่หนึ่ง 2 รายการ คือ วิจิตรการมาลัยมือพวงน้อย วิจิตรการกระทงน้อยลอยนที และวิจิตรการกรองร้อยมาลัยมือได้ที่สอง”รู้สึกประสบความสำเร็จ ทำให้มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ เด็กได้ฝีไม้ลายมือ ครูได้เทคนิคการสอน โรงเรียนได้ชื่อเสียง นั่นก็เป็นอีกเวทีที่บอกตัวเองว่า จะอยู่แค่โรงเรียนในท้องถิ่นไม่ได้แล้ว ต้องพาเด็กๆไปเจออะไรที่ยิ่งใหญ่และยากขึ้นปี 2554 งานการประดิษฐ์กระทงลอยระดับชาติ ที่พุทธมณฑลร่วมกับสำนักงานส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ...ปีสุดท้าย เป็นเวทีที่มีสุดยอดฝีมือจากแต่ละที่มาประชัน เป็นเวทีที่ได้ชื่อว่าโหดที่สุด ถ้าเป็นกีฬาก็โอลิมปิก และแชมป์เดิมก็ได้รางวัลติดต่อมาเป็นสิบปีสองสามปีก่อนนั้น ธีระยุทธใช้เวลาห้าหกเดือนศึกษาข้อมูล ทำอย่างไร ใช้วัสดุแบบไหน กรรมการตัดสินอย่างไร แล้วฝึกซ้อมนักเรียนงานนี้ธีระยุทธไม่กล้าหวัง กรรมการเป็นอาจารย์จากวิทยาลัยในวัง เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และที่สำคัญ กระทงทุกกระทง แม้สวยงามแค่ไหน เมื่อเสร็จแล้วต้องลอยน้ำได้จริงโรงเรียนเทศบาล ๑ บ้านท่าตะเภา ส่ง 3 ทีม ปรากฏชั้นประถมลอยน้ำได้สวย ม.ต้นเอียง ถ้าปล่อยมือก็จม และ ม.ปลายลอยได้สวยผลออกมาได้ที่หนึ่งสองรายการ คือประถมกับ ม.ปลาย ได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 รับโล่รางวัลกับองคมนตรีความรู้สึกตอนนั้น อย่างแรกดีใจ อย่างที่สองลูกศิษย์ของเรามีศักยภาพ และสิ่งที่ทำมาทั้งหมดมีคุณค่า“ครั้งหนึ่งในชีวิตได้รับพระราชทานรางวัลจากพระองค์ท่าน (พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้า) ถือเป็นขวัญและกำลังใจในยามที่ท้อ เมื่อหันไปมองโล่รางวัลทุกครั้งธีระยุทธคิดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ไหน จะเป็นครู หรือขึ้นเป็นรอง ผอ.ก็ตาม ก็จะทุ่มเทสอนงานประดิษฐ์ให้นักเรียนตลอดชีวิต จนกว่าเกษียณ และจนกว่าไม่มีแรงทำ”จากนั้นก็ส่งประกวดมาตลอด เมื่อปีที่แล้วได้รับรางวัลชนะเลิศระดับชาติ การประกวดแข่งขันวิจิตรตระการกรองร้อยพานรับน้ำพระพุทธมนต์ เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษามหาราชินี ศรีแผ่นดิน ระดับประถมศึกษา รับประทานถ้วยรางวัลจาก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ณ มหาวิทยาลัยสวนดุสิตธีระยุทธเรียนจบคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (มศว) ไปเป็นครูอัตราจ้างสอนดนตรีไทยหนึ่งปี ตั้งแต่พฤษภาคม 2547-เมษายน 2548 ที่โรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัยจากนั้นเพื่อนชวนไปสอบบรรจุเป็นครูดนตรีไทย ที่เทศบาลเมืองพระประแดง ได้ลำดับที่สี่ ขึ้นบัญชีไว้หกคน อันดับหนึ่งสองต้องอยู่พระประแดง ลำดับที่ 3, 4, 5, 6 ทำหนังสือเวียนไปทั่วประเทศ แล้วเรียกมารายงานตัวลำดับที่สามเลือกเทศบาลสมุทรสงคราม พอมาถึงธีระยุทธลำดับที่ 4 มีเทศบาลเมืองบุรีรัมย์กับเทศบาลเมืองสองพี่น้อง ลำดับห้าก็สะกิดบอก พี่ๆหนูเป็นคนสุรินทร์ พี่อย่าเลือกบุรีรัมย์นะ“งั้นน้องก็เอาไป” ธีระยุทธบอก เหลือเทศบาลสองพี่น้อง ตอนนั้นรู้จักอย่างเดียวคือพุ่มพวง ว่าอยู่สุพรรณบุรี8 สิงหาคม 2548 ธีระยุทธบรรจุรับราชการ ไปทำงานวันแรกที่โรงเรียนเทศบาล 3 วัดใหม่อัมพวัน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี โชคดีเจอผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นผู้หญิงสายงานเดียวกัน คือจบปริญญาตรี เอกนาฏศิลป์ กลายเป็นว่าทำงานกลมกลืนไปกันได้ผอ.ถามว่า มีความสามารถพิเศษอะไร ที่นี่ครูการงานอาชีพยังไม่มีธีระยุทธบอกสอนได้ จึงสอน 2 วิชา ทั้งนาฏศิลป์และการงานอาชีพ ขณะเดียวกันก็เปิดชุมนุมศิลปะประดิษฐ์ นักเรียนที่มีใจรักหรือมีฝีมือก็ชักชวนให้มาอยู่ในชุมนุม เริ่มฝึกเด็กด้วยการพับกลีบใบตองง่ายๆ ร้อยมาลัยง่ายๆ และพัฒนาไปสู่การประกวดแข่งขันเริ่มตั้งแต่งานระดับเทศบาล ระดับอำเภอ ระดับจังหวัดของสุพรรณบุรี ก็ได้แชมป์ตลอดน้องๆเห็นรุ่นพี่ไปแข่งแล้วได้เกียรติบัตร ก็ยิ่งเข้าชุมนุม แต่ชุมนุมมีกฎคือ ซ้อมนอกเวลาได้ กลับบ้านหลัง 6 โมงเย็นได้ และเสาร์-อาทิตย์ให้เวลากับครูได้สอนเด็กๆโรงเรียนวัดใหม่อัมพวัน ลงรากหยั่งลึกจนเป็นที่รู้จักไปทั้งเมืองสุพรรณบุรี วันที่ 16 มิถุนายน 2551 ธีระยุทธย้ายมาโรงเรียนเทศบาล ๑ (บ้านท่าตะเภา) จังหวัดชุมพรตอนนั้นเทศบาลเมืองชุมพร เป็นเจ้าภาพจัดการประกวดแข่งขันวิชาการของระดับภาคใต้ มีโอกาสช่วยฝึกซ้อมนักเรียนวิชางานประดิษฐ์ ครึ่งเดือน เด็กก็ได้แชมป์ภาคใต้ เป็นตัวแทนไปแข่งงานมหกรรมจัดการศึกษาท้องถิ่นระดับประเทศธีระยุทธสอนลูกศิษย์เสมอว่า เวลาทำงานประดิษฐ์ มีเทคนิคหลัก 4 อย่างหนึ่ง มือ ต้องใช้จับในการพับ การม้วน ดอกไม้ใบตองไม่มีชีวิต อยู่ที่มือเราเป็นผู้กำหนด สอง สายตา ต้องเที่ยงตรง เที่ยงธรรม และไม่เข้าข้างตัวเอง สาม สมอง ใช้ในการจดจำทุกอย่าง เช่น ลวดลายของผังมาลัย จำนวนนิ้วบายศรีและสี่ จิตใจ ที่ละเอียดอ่อนและประณีตทั้งสี่ข้อ เป็นงานบูรณาการ เป็นเทคนิคที่คิดขึ้นมาเอง ไม่มีในตำรา “เมื่อไหร่ที่ทำงานประดิษฐ์ ต้องเอา 4 อย่างนี้ แล้วงานจะออกมาสวยสดงดงาม ที่สำคัญต้องมีความเพียร ต้องมีการซ้อม โรงเรียนอื่นซ้อมร้อยเที่ยว เราต้องซ้อมสองร้อยเที่ยว และโรงเรียนเทศบาล ๑ (บ้านท่าตะเภา) ไม่เคยมีปีไหนที่ไม่ได้รับรางวัลที่หนึ่งที่สองที่สาม ระดับชาติ ในด้านงานประดิษฐ์ดอกไม้ใบตอง”อนาคตสิ่งที่มองไว้ อยากให้ทุกสถานศึกษาส่งเสริมเรื่องศิลปะประดิษฐ์ เพราะเป็นเรื่องของความละเอียดอ่อน แฝงไปด้วยคุณค่าความเป็นมนุษย์ ความละเอียดรอบคอบ ความพิถีพิถัน ไม่มีชาติใดในโลกที่เหมือนเมืองไทย ประเทศไทยสืบต่อมาช้านาน อยากให้ทุกโรงเรียนให้ความสำคัญธีระยุทธบอกว่า นอกเหนือจากการทำได้ ทำเป็น คือหนึ่งฝึกความประณีตละเอียด สองฝึกความสามัคคีในหมู่คณะ สามความริเริ่มสร้างสรรค์ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ นำไปสู่อาชีพ สร้างรายได้ ยุคไทยแลนด์ 4.0 สร้างอาชีพสร้างรายได้เป็นเรื่องสำคัญ ตรงนี้เองนอกเหนือจากทำให้สวยแล้ว ทุกวันนี้นักเรียนยังมีรายได้อีกด้วยที่สำคัญธีระยุทธใช้ตรงนี้ประเมินผลงานทางวิชาการ เพิ่มพูนความก้าวหน้าในวิชาชีพครูผลงานด้านการประเมินโครงการความเป็นเลิศ เพิ่มพูนวิทยฐานะเพื่อความก้าวหน้าในวิชาชีพ นี่คืองาน ที่ส่งให้ธีระยุทธขึ้นเป็นรองผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษนอกจากการสอนเด็ก ธีระยุทธยังเป็นผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ รับเชิญไปเป็นกรรมการตัดสิน งานศิลปหัตถกรรมนักเรียนแต่ละภาค เป็นประธานกรรมการตัดสินงานประดิษฐ์ดอกไม้ใบตองของทุกภาคทั่วประเทศ“ภูมิใจงานที่ทำมาตลอด 12 ปีเต็ม” ธีระยุทธบอก“ผมทำด้วยใจรัก ไม่เคยคิดว่าขาดทุนหรือกำไร เพราะขาดทุนคือกำไร ทุกอย่างไม่ได้เห็นผลวันนี้ อาจจะเห็นผลในระยะยาว สิ่งที่ทำไม่ได้เห็นผลเป็นตัวเงิน แต่เห็นผลเป็นความรู้ประสบการณ์ของลูกศิษย์ ถือว่าสิ่งที่ทำตรงนี้ เป็นอานิสงส์ให้ชีวิต”.