ในพื้นที่ “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” หรือ “อีสาน” ยังคงต้องเผชิญ “ภัยแล้ง” ขยายวงกว้าง มีฝนทิ้งช่วงติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนานส่งผลกระทบกับ “ชาวนา” ต้องทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัส เพราะต้นข้าวที่หว่าน ปักดำเอาไว้ มีสภาพ “ขาดน้ำ”...เริ่มยืนต้นตาย แห้งกรอบ ตามพื้นที่ดินแตกระแหงหนัก...ส่วนหนึ่งอาจเพราะ “เกิดจาก...การบริหารจัดการน้ำผิดพลาด” และมีผลพวงจากปรากฏการณ์ “เอลนีโญแบบอ่อน” แม้ไม่รุนแรงเท่ากับปี 2558 แต่มีผลกระทบต่อเนื่องยาวตั้งแต่เดือน ก.ย.2561 มาถึงปัจจุบันนี้ ทำให้ประเทศไทย โดยเฉพาะภาคอีสาน มีฝนน้อยกว่าปกติค่าเฉลี่ย 30 ปี ถึงประมาณ 34 เปอร์เซ็นต์ปรากฏการณ์นี้...ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย มีผลกระทบในประเทศแถบเอเชีย ใกล้มหาสมุทรแปซิฟิก ทั้งประเทศเมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม จีน มีปริมาณฝนตกลงมาน้อย ที่มีผลลากยาวไปจนถึงต้นปี 2563 ในการบริหารจัดการน้ำ...จึงต้องระมัดระวัง หากผิดพลาด...สถานการณ์อาจเลวร้ายหนักกว่าเดิม... ดร.ศิริลักษณ์ ชุ่มชื่น ประธานอนุกรรมการวิศวกรรมแหล่งน้ำ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ (วสท.) ให้ข้อมูลว่า ในภาคอีสานที่ต้องเผชิญภัยแล้งซ้ำซาก...ต้องมาทำความเข้าใจภูมิประเทศ “อีสาน” มีลักษณะพื้นดินยกตัวขึ้นเป็นที่ราบสูงและเป็นพื้นที่ค่อนข้างแบนราบ ในการพัฒนา “เขื่อนเก็บน้ำขนาดใหญ่” ที่มีความจุจำนวนมาก “ทำได้ยาก” ต่างจากภาคเหนือ ...ที่มีภูเขาล้อมรอบพื้นที่ปีนี้ภาคอีสานปริมาณฝนเฉลี่ย 1,328 มม. ...ที่มีเกณฑ์ต่ำกว่าปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งประเทศ 1,467 มม.ต่อปี และฝนที่ตกลงมานั้นมีการกระจายตัวไม่สม่ำเสมออีก โดยบริเวณริมแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นพื้นที่ปลายน้ำ กลับมีปริมาณฝนตกลงมามากที่สุด ที่เหมาะกับการสร้างเขื่อน แต่ก็สร้างเขื่อนไม่ได้ เพราะความขัดแย้งทางความคิด...พื้นที่ต้นน้ำ มีที่รับน้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ กลับมีปริมาณฝนตกลงมาน้อย...แต่ว่า...ภาคอีสานมีพื้นที่อยู่ประมาณ 103.5 ล้านไร่ คิดเป็นพื้นที่รับน้ำได้ 32 เปอร์เซ็นต์ของทั้งประเทศ...แต่ด้วยปริมาณน้ำฝนมีน้อย ทำให้มีน้ำท่าเก็บไว้ได้เพียง 28 เปอร์เซ็นต์ของทั้งประเทศ หรือ 60,790 ล้าน ลบ.ม. ซ้ำร้าย...กลับมีอ่างขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่สามารถกักเก็บน้ำได้เพียง 13,850 ล้าน ลบ.ม.นั่นหมายความว่า...ฝนตกลงมาก็น้อยกว่าเกณฑ์เหลือเพียง 1,328 มม. ในจำนวนนี้แปลงออกมาเป็นปริมาณ หรือวอลลุ่ม (volume) ของพื้นที่ทั้งหมด 60,790 ล้าน ลบ.ม. แต่มีพื้นที่กักเก็บได้เพียง 13,850 ล้าน ลบ.ม. ส่วนที่เหลือไม่มีกระบวนการกักเก็บ...ต้องปล่อยลงดิน หรือปล่อยระเหยทิ้งไปวิเคราะห์พื้นที่ภาคอีสานทั้งหมด มีความต้องการใช้น้ำ ทั้งด้านการเกษตร อุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศต่างๆ ประมาณ 28,000 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี ทำให้น้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ...ทว่า...การบริหารจัดการน้ำในเขื่อนต้องคำนวณการปล่อยน้ำ ให้ภาคการเกษตร ภาคการอุปโภคบริโภค ตามความเหมาะสม ผนวกกับการพยากรณ์ปริมาณฝน ทั้งในรายวัน รายเดือน และรายฤดู สามารถทราบแนวโน้มของปริมาณน้ำฝนมากหรือน้ำน้อย? จากนั้นค่อยมาบริหารน้ำ หรือการปล่อยส่งน้ำ ให้เกิดความสมดุลกันปีนี้ฝนกลับมาไม่ตามคาดการณ์...จนเกิดภัยแล้งแล้ว...กลับปล่อยน้ำออกมากเกินไป ทำให้ปริมาณน้ำที่มีอยู่น้อยลงอีก ณ วันที่ 29 ก.ค. 2562 มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ในพื้นที่ภาคอีสาน ปริมาณน้ำเก็บกักเฉลี่ย 31 เปอร์เซ็นต์ น้ำที่ใช้การได้จริง 11 เปอร์เซ็นต์ของความจุอ่างเก็บน้ำเท่านั้นและมี “เขื่อนวิกฤติ” แล้ว...คือ เขื่อนลำพระเพลิง มีปริมาณน้ำใช้จริง 20.98 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนจุฬาภรณ์ มีน้ำใช้ได้จริง 5.01 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนอุบลรัตน์ มีน้ำใช้จริง–36.67 ล้าน ลบ.ม.หนำซ้ำ...ในแม่น้ำโขงยังมีปริมาณน้ำฝนไหลมาเติมน้อย ประกอบกับเขื่อนประเทศจีนมีการปรับลดการระบายน้ำ ดำเนินการบำรุงรักษาสายส่งไฟฟ้าของโรงผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ และมีเขื่อนของ สปป.ลาว มีการทดสอบเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ทำให้ระดับน้ำท้ายน้ำของเขื่อนในแม่น้ำโขงลดลง ในช่วงที่ผ่านมานี้ อีกสาเหตุ...ในช่วงต้นฤดูกาลเพาะปลูก “ภาครัฐ” ยังขาดการสื่อสารพูดคุยภาคประชาชนให้เกิดความเข้าใจตั้งแต่เริ่มต้นว่า ในปีนี้มีน้ำน้อย ต้องลดใช้น้ำให้เหมาะสม แต่ภาครัฐไม่สื่อสารกับประชาชน มีการเพาะปลูกตามปกติ ทำให้เกิดการร้องขอปล่อยน้ำหล่อเลี้ยงภาคการเกษตร จนปริมาณน้ำในเขื่อนน้อยลงอีก...“ในพื้นที่เขื่อนมีปริมาณฝนน้อยกว่าปกติ และน้ำเข้าอ่างน้อยไปด้วย เพราะการคาดการณ์มองว่า ในช่วงฤดูฝนปี 2562 จะมีปริมาณน้ำมาเติมเขื่อน แต่ปีนี้กลับเผชิญเอลนีโญตั้งแต่เดือน ก.ย.2561 ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า จะมีปริมาณน้ำฝนน้อยต้องเตรียมบริหารน้ำนับแต่นั้น...แต่กลับมีการปล่อยน้ำออกไป” ดร.ศิริลักษณ์ ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว...แนวทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคงต้องหวัง “พึ่งพาการทำฝนหลวง” และรัฐบาลต้องชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งนอกเขตพื้นที่ชลประทาน และส่งน้ำแบบรอบเวียนในเขตพื้นที่ชลประทาน เพื่อเลี้ยงนาข้าวที่เหลืออยู่ให้รอด และลดพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังในฤดูแล้ง รวมถึงรณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันประหยัดน้ำจากนั้นตั้งตารอ...“น้ำฝน” ที่คาดกันว่า เดือน ส.ค.-ก.ย.62 จะเริ่มมีฝนตก และมีพายุเข้าประเทศไทย 1 ลูก เคลื่อนมายังภาคอีสานตอนบน ใน จ.หนองคาย ทำให้มีน้ำไหลเติมแม่น้ำโขง และอาจเคลื่อนสู่ภาคเหนือตอนล่าง ช่วยเติมเขื่อนสิริกิติ์ รวมทั้งอาจรับอิทธิพลดีเปรสชันอีก 7 ลูก ในการช่วยบรรเทาภัยแล้งในระดับหนึ่ง...ในการช่วยเหลือตัวเองของประชาชนเบื้องต้น อาจต้องทำสระเก็บน้ำในพื้นที่ตนเอง ด้วยร้องขอ “กรมพัฒนาที่ดิน ตามโครงการแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน” ขุดสระน้ำในไร่นา 1,260 ลูกบาศก์เมตร และเกษตรกรออกค่าใช้จ่าย 2,500 บาทต่อบ่อ จากค่าขุดบ่อ 20,000 บาท ส่วนที่เหลือรัฐบาลจะเป็นผู้สนับสนุน...มีวัตถุประสงค์การบรรเทาสภาพปัญหาภัยแล้ง การขาดแคลนน้ำ และเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำในพื้นที่ทำการเกษตรของเกษตรกร นอกเขตชลประทานมีแหล่งน้ำที่เหมาะสมกับการเกษตร เป็นการสนับสนุนการทำเกษตรแบบผสมผสานตามหลักทฤษฎีใหม่อันเนื่องมาจากพระราชดำริฯในระยะยาวรัฐบาล...ต้องมีส่วนร่วมช่วยเหลือพื้นที่ภาคอีสาน ด้วยการผันน้ำจากแม่น้ำโขง...ผ่านอุโมงค์ส่งน้ำใต้ดินในช่วงฤดูฝน เพราะช่วงนี้มีปริมาณน้ำไหลหลากมาก และผันน้ำเข้ามาเก็บไว้ในเขื่อนอุบลรัตน์ หรือในอ่าง ลำคลอง ระบบส่งน้ำต่างๆ ในการเตรียมน้ำช่วยในช่วงฤดูแล้ง เช่น กรมชลประทานจัดทำโครงการจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล โดยแรงโน้มถ่วง ผันน้ำจากปากแม่น้ำเลย กระจายน้ำมาช่วยพื้นที่ภาคอีสานแต่นี่ถือว่าเป็น “เมกะโปรเจกต์” ต้องใช้งบประมาณสูงมากสิ่งสำคัญ...ต้องมีการจัดทำระบบพยากรณ์สภาพอากาศรายฤดูที่แม่นยำ มีการพัฒนาให้เกิดความทันสมัยแม่นยำ และพัฒนาบุคลากรให้เรียนรู้ และพัฒนาความสามารถหลากหลายในการมาระดมความคิด...ใช้เป็นข้อมูลในการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำตั้งแต่ต้นฤดูฝน เพื่อลดความเสียหายต่อการปลูกพืชต้องเข้าใจว่า...โลกกำลังเผชิญกับ “Climate Change” พฤติกรรมของธรรมชาติ มีสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงมาก ทุกอย่างเกิดขึ้นได้...เกินความคาดหมาย ทำให้การพยากรณ์อากาศยากกว่าเดิม...และทิศทางพายุเคยเกิดขึ้นซ้ำๆก็ไม่แน่นอนเหมือนอดีต จำเป็นต้องให้ความสำคัญ...อย่าหยุดการเรียนรู้และพัฒนา นำเทคโนโลยีต่างประเทศเข้ามาใช้ในการพยากรณ์อากาศ และการบริหารน้ำอนาคตจะสามารถชี้เป้าได้เลยว่า พื้นที่บริเวณใดมีความเสี่ยงต่อภัยแล้ง และจะต้องมีมาตรการควบคุมการเพาะปลูกของเกษตรกรให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำในแต่ละปี ทั้งมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ที่ชัดเจนในกรณีที่ให้ชะลอการเพาะปลูก หรือมีการลดการเพาะปลูก...“พื้นที่อีสาน”...ทำเขื่อนลำบาก...ฝนก็มีน้อย...ยิ่งมีอากาศเปลี่ยนแปลงผิดปกติ และการพยากรณ์ลำบากขึ้น ทางออกที่ดี...ทุกคนต้องปรับวิถีชีวิตใหม่...ให้สอดคล้องกับธรรมชาติด้วยเช่นกัน.