“ดีเอสไอ” เด้งรับนโยบายกระทรวงดีอีรับคดีตรวจสอบบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างกระทรวงดีอีสมัยที่แล้วกับบริษัท Prime Opportunity Fund VCC Singapore เป็นคดีพิเศษแล้ว หลัง “ไชยชนก” ยกเลิกเอ็มโอยู และสั่งการให้ดีเอสไอกับ ปปง.ตรวจสอบความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550 มาตรา 14 ระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ เบื้องต้นพบขบวนการเก็บข้อมูลม่านตาคนไทย ไปแล้วกว่า 1.2 ล้านคน จ่ายค่าตอบแทนเป็นเหรียญดิจิทัล Worldcoin (WLD) ผู้จัดเก็บข้อมูลไม่ได้แจ้งให้ประชาชนรับทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดว่าถูกเอา ม่านตาบันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบไปแล้วกรณีนายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เร่งรัดติดตามตรวจสอบการดำเนินการเรื่องบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างกระทรวงดีอี บริษัท Prime Opportunity Fund VCC Singapore ด่วนที่สุด หลังตัดสินใจยกเลิกเอ็มโอยู เพราะพบเส้นทางเชื่อมโยงขบวนการฟอกเงินดิจิทัลระดับโลก และมีการอนุญาตให้เก็บข้อมูลสแกนม่านตา หลังจากนั้นประสานกรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงาน ปปง.ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังพบว่าการจัดทำเอ็มโอยูเริ่มต้นเมื่อวันที่ 25 มี.ค.67 และลงนามหลังจากนั้นเพียง 3 วันโดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดีอี ขณะนั้น และมีนายเบน สมิท ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ร่วมเป็นสักขีพยาน ความคืบหน้าจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 10 ธ.ค. มีรายงานว่า หลังนายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประสานให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ และ สำนักงาน ปปง. ช่วยดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างกระทรวงดีอีกับบริษัท Prime Opportunity Fund VCC Singapore ขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษรับเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษเรียบร้อยแล้ว เป็นเลขคดีพิเศษที่ 148/2568 กรณีธุรกิจสแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี ภายใต้โครงการ Worldcoin ดูในฐานความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 “ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”1.โดยทุจริตหรือหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอม พิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท 2.นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน 3.นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใดๆอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย 4.นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งคอมพิวเตอร์ใดๆที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ 5.เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามข้อ 1 2 3 หรือ 4ความเป็นมาของคดีพิเศษที่ 148/2568 กรณีธุรกิจสแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี ภายใต้โครงการ Worldcoin มีความเชื่อมโยงกับบริษัทที่รับสแกนม่านตา ตามที่เคยปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้ พบว่าในปี 2567 มีคนไทยจำนวนกว่า 1.2 ล้านคนทั่วประเทศ สแกนม่านตาไปแล้วผ่านเครื่อง Orb สแกนม่านตาเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์ (Proof of Human) และมอบเหรียญดิจิทัล Worldcoin (WLD) ให้กับผู้เข้าร่วม เรื่องทั้งหมดเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เพราะอ้างว่าเมื่อสแกนม่านตาแล้วจะมีการจ่ายเป็นเหรียญดิจิทัล อีกทั้งเรื่องนี้มีขบวนการทีมงานมาติดตั้งเครื่องสแกนม่านตา เชิญชวนประชาชน และรับซื้อเหรียญดิจิทัลดีเอสไอตรวจสอบในส่วนของต่างประเทศด้วยว่า เครื่องสแกนม่านตาทำงานอย่างไร และมีประโยชน์อย่างไร มีฟังก์ชันการทำงานแตกต่างจากเครื่องที่ถูกติดตั้งในไทยอย่างไร มอบหมายให้ผู้ เชี่ยวชาญช่วยดำเนินการตรวจสอบเชิงลึกคู่ขนาน เพราะค่อนข้างซับซ้อน โดยเฉพาะมิติอาชญากรรมทางเศรษฐกิจระดับโลก หากดูรายละเอียดในบันทึกข้อตกลงค่อนข้างเป็นประโยชน์ แต่พอเรื่องนี้ไปเกี่ยวข้องเกี่ยวโยงกับนายเบน สมิท และพวก การที่ดีเอสไอประสานขอให้ ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบทำให้เห็นภาพสำคัญคือ การติดตั้งเครื่องสแกนม่านตาดังกล่าวเพื่อนำมาซึ่งเหรียญดิจิทัล เพื่อไปซัพพอร์ตต่อในส่วนของเหรียญดิจิทัล Worldcoin (WLD) เรื่องนี้ผู้จัดทำไม่ได้ แจ้งข้อมูลให้ประชาชนรับทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด แต่ประชาชนกลับถูกเอาม่านตาบันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบไปแล้วประชาชนจะไม่รู้เลยว่ากิจกรรมข้อมูลดังกล่าวนี้จะถูกนำไปใช้ในแง่มุมไหนในอนาคต เพราะ “ม่านตา” ในหลักการของสถาบันวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าม่านตาเทียบเท่ากับสารพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอ เพราะสามารถใช้ยืนยันอัตลักษณ์บุคคลได้ แตกต่างคือดีเอ็นเอต้องตรวจเจาะเลือด แต่ม่านตากลับสามารถสแกนและเก็บข้อมูลได้เลย เรื่องนี้ถ้ามองเกี่ยวกับวิวัฒนาการในอนาคต อาจเป็นเรื่องดี หากทำให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ แต่ยังพบว่าประเทศสิงคโปร์ก็ไม่ได้ดำเนินการในเรื่องนี้ต่อ เป็นสาเหตุสำคัญที่เราต้องลงลึกไปดูว่าข้อมูลสแกนม่านตาของคนไทย 1.2 ล้านคนถูกนำไปใช้ทำอะไรแล้วบ้าง ต้องขอเวลาในการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานก่อนเบื้องต้น ดีเอสไอดำเนินการสอบปากคำพยาน เป็นผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับเหรียญดิจิทัลชื่อดังรายหนึ่งของไทยไปแล้ว เนื่องจากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหรียญดิจิทัล Worldcoin (WLD) แต่ต้องรอข้อมูลรายละเอียดผลสอบปากคำพยานอย่างครบถ้วนก่อน จะทำให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมถึงต้องรวบรวมข้อมูลว่ามีใครบ้างที่ถูกสแกนม่านตาไปแล้ว และเก็บบันทึกข้อมูลไว้อย่างไร เพราะบริษัทที่รับติดตั้งเครื่องสแกนม่านตาอ้างว่าเก็บข้อมูลเพียงแค่การสแกนม่านตา ทั้งนี้ ดีเอสไอพบข้อมูลว่า บริษัทที่ทำบันทึกข้อตกลงกับบริษัทที่ทำเหรียญดิจิทัลมีความเชื่อมโยงกันอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่