เตือน-แช่นํ้าดื่ม เสี่ยงเป็นมะเร็ง จ่อฟันคดีเพียบ
สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) เผยผลการตรวจบัตรพลังงานที่โอ้อวดรักษาได้สารพัดโรคมีค่ากัมมันตรังสีสูงถึง 350 เท่าของปริมาณที่ร่างกายคนสามารถรับได้ หากแช่น้ำเอาไปดื่มจะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็ง จ่อเอาผิดกับบริษัทผู้จำหน่ายตาม พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ.2559 ขณะที่ ส.ส.สงขลา พรรค พปชร. หอบหลักฐานจี้ดีเอสไอเร่ง ตรวจสอบ มีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย ด้าน สคบ.เล็งเอาผิดตาม พ.ร.บ.ขายตรงฯ หลังบริษัทถูกเพิกถอนทะเบียนไปแล้ว
หลายหน่วยงานยังคงเร่งตรวจสอบหาหลักฐานพิสูจน์ข้อเท็จจริง กรณีบริษัทตัวแทนจำหน่ายบัตรพลังงาน โฆษณาอวดอ้างสรรพคุณ สามารถรักษาได้สารพัดโรค ทำให้ประชาชนในพื้นที่หลายจังหวัดของภาคอีสาน หลงเชื่อเสียเงินซื้อไปใช้จำนวนมาก ท่ามกลางความกังวลเกรงจะเกิดผลข้างเคียงต่อผู้ที่นำไปใช้
ความคืบหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 มิ.ย. นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา พรรคพลังประชารัฐ ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกดีเอสไอ ให้ตรวจสอบบริษัทจำหน่ายบัตรสมาร์ทการ์ด ที่แอบอ้างสรรพคุณใช้รักษาได้ทุกโรคให้กับประชาชน ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยนายศาสตรา เปิดเผยว่า ขณะนี้มีประชาชนถูกหลอกให้ซื้อบัตรแล้วกว่า 100 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุอยู่บ้านเพียงลำพัง ในพื้นที่ภาคอีสานมากสุด ตรวจสอบบริษัท ดังกล่าวพบว่ามีการจดทะเบียนขายสบู่ แต่ไม่ได้จดทะเบียนจำหน่ายบัตร ปัจจุบันยังคงเปิดอยู่แม้จะมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปตรวจสอบแล้ว
“ผมทราบว่ามีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย หลังใช้บัตรนี้แทนการรักษาจากแพทย์อย่างถูกต้อง ตรวจสอบพบบัตรมีสารกัมมันตภาพรังสีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงมายื่นเรื่องให้ดีเอสไอ สคบ.และ ปปง. ลงพื้นที่ตรวจสอบและป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกหลอกลวงเพิ่ม ให้เวลาดีเอสไอตรวจสอบภายใน 7 วัน ต้องมีความคืบหน้า” นายศาสตรากล่าว
...
ด้าน พ.ต.ต.วรณันเผยว่า เตรียมประสานเจ้าหน้าที่ ดีเอสไอประจำจังหวัดสงขลา ลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกับตำรวจ หากเข้าองค์ประกอบความผิดจะรับไว้เป็นคดีพิเศษ
วันเดียวกัน สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) เปิดเผยผลการนำบัตรพลังงานมาตรวจด้วยเทคนิคทันสมัยอย่างละเอียด หลังจากได้รับตัวอย่างจาก ศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่า ระดับรังสีของแผ่นการ์ดสูงกว่าค่าขีดจำกัดการรับปริมาณรังสีสำหรับคนทั่วไป 350 เท่า โดยการ์ดตัวอย่างที่ได้รับมีความสมบูรณ์ไม่มีการแตกหักจะไม่พบการเปรอะเปื้อนทางรังสีที่พื้นผิวด้านนอก หากนำไปผสมน้ำดื่มมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง ดังนั้น ประชาชนไม่ควรมีไว้ครอบครอง ทั้งนี้ ปส.เตรียมการวิเคราะห์การปนเปื้อนของวัสดุกัมมันตรังสีเมื่อนำแผ่นการ์ดแช่ในน้ำ เมื่อมีข้อมูลครบถ้วนอาจต้องดำเนินคดีกับบริษัทผู้จำหน่ายตาม พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ.2559 หาก ประชาชนผู้ใช้สินค้ามีข้อกังวลใจไม่ทราบว่าจะนำการ์ดดังกล่าวไปกำจัดที่ใด สามารถประสานมายังสถาบัน เทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน.เพื่อดำเนินการ
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ออกหนังสือเตือนกรณีนี้ว่า จากการตรวจสอบพบบริษัท เอ็กซ์เพิร์ทโปรเน็ทเวิร์ค จำกัด เป็นผู้จำหน่ายสินค้า เคยได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจขายตรงจาก สคบ. ประเภทเครื่องสำอาง เมื่อปี 56 ก่อนถูกเพิกถอนทะเบียนเมื่อวันที่ 18 ก.พ.62
เนื่องจากไม่มาวางหลักประกันการประกอบธุรกิจขายตรง ดังนั้น หากบริษัทยังประกอบธุรกิจขายตรงอยู่ จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 ฐานประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับและปรับอีกไม่เกินวันละ 20,000 บาท ตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ อีกทั้งอาจเป็นความผิดฐานเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าโดยใช้โฆษณา หรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความที่รู้หรือควรรู้ อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ สคบ. ได้เรียกผู้ประกอบธุรกิจไปชี้แจงข้อเท็จจริงต่อเจ้าหน้าที่แล้ว สำหรับผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวข้างต้น สามารถร้องเรียนได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมทุกจังหวัด หรือโทร.สายด่วน 1166
ที่ จ.ขอนแก่น นพ.สมชายชาติ ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น พ.ต.อ.สุทธิพงศ์ เป็กทอง รอง ผบก.ภ.จ.ขอนแก่น หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ร่วมกันแถลงข่าวผลการหารือข้อกฎหมายที่จะดำเนินคดีกับบริษัทและผู้เกี่ยวข้องกับบัตรพลังงาน ที่อ้างว่ารักษาได้สารพัดโรค มีชาวบ้านในพื้นที่ อ.อุบลรัตน์ อ.น้ำพอง และ อ.เมืองขอนแก่น หลงเชื่อซื้อไปใช้ในราคาใบละ 1,100-1,500 บาท
นพ.สมชายเปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุ สสจ.ขอนแก่น ได้ทำเรื่องหารือไปยังคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่าเข้าข่ายความผิดใดในทางการแพทย์หรือไม่ เพราะไม่มีการจดแจ้งหรือขึ้นทะเบียนยาและอาหารหรือองค์ประกอบที่เกี่ยวกับการสาธารณสุข แต่มีข้อสังเกตเป็นการโฆษณาที่กล่าวอ้างเกินจริง ได้ให้ข้อมูลตำรวจไปพิจารณาแล้ว
พ.ต.อ.สุทธิพงศ์กล่าวว่า ขณะนี้ยังเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องไม่ได้ เพราะข้อกฎหมายที่หารือกันนั้นยังไม่ชัดเจน ตำรวจต้องเข้าสอบสวนคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดขอนแก่น และประสานงานข้อมูลรายละเอียดต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือกันว่าพฤติกรรมทั้งหมดเข้าข่ายความผิดกฎหมายในข้อใดบ้าง
ด้านนายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องได้ทำงานร่วมกันอย่างรอบคอบ ตรวจสอบทั้งในเรื่องของข้อกฎหมายว่าจะดำเนินคดีในข้อใดได้บ้าง ต้องให้เวลาอีกระยะหนึ่ง หากประชาชนที่ซื้อบัตรมาใช้และคิดว่าตัวเองถูกหลอก สามารถแจ้งความกับตำรวจในพื้นที่ได้ทันที โดยก่อนหน้านี้ยังไม่มีผู้ใดแจ้งความเอาผิด ถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่อยากให้ใช้วิจารณญาณในการซื้อสินค้ามาใช้