สถานการณ์ความขัดแย้ง “ชายแดน ไทย–กัมพูชาดูจะคลี่คลาย” แต่เบื้องหลังความเงียบสงบยังคงคุกรุ่นด้วยความตึงเครียดจาก “ข้อพิพาทเขตแดนบางส่วนไม่มีข้อยุติที่ชัดเจน” ตั้งแต่ช่องอานม้า ช่องบก จ.อุบลราชธานี ยาวไปถึงปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ที่ยังมีประเด็นร้อนสามารถปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อด้วยเหตุจาก “ฝ่ายกัมพูชา” ต่างพยายามแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อ้างสิทธิครอบครองโบราณสถานครอบคลุมในบางพื้นที่ตามแนวชายแดน และมีความเคลื่อนไหวทางทหารแบบลับๆ “ฝ่ายทหารไทย” จึงยังคงต้องรักษาความสงบเรียบร้อย และพร้อมในการปกป้องอธิปไตยของประเทศหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นแม้ตอนนี้จะไม่มีการปะทะโดยตรง “แต่ก็มีภาพการยั่วยุจากฝ่ายกัมพูชาต่อเนื่อง” ไม่ว่าจะเปิดเพลงปลุกใจในเขตปราสาทตาเมือนธม หรือการเผาศาลาสันติภาพที่ช่องบกสะท้อนถึงความตึงเครียดข้อพิพาทเขตแดนยังไม่คลี่คลายอย่างแท้จริง พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผช.รมว.กลาโหม และอดีตปลัดกระทรวงกลาโหม บอกว่าความตึงเครียดจากข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชาเป็นปัญหามาตั้งแต่ปี 2505 นับแต่กรณีข้อพิพาทเขาพระวิหาร กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศมายาวนาน แล้วความไม่ลงรอยเรื่องดินแดนก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเขาพระวิหารหากแต่ขยายวงครอบคลุมตลอดแนวพรมแดนไทย-กัมพูชา 798 กิโลเมตรประเด็นอ่อนไหวเรื่องเขตแดน “ต้องอาศัยความร่วมมือจาก 2 ฝ่าย” แต่ที่ผ่านมากัมพูชามีปัญหาการเมืองภายในส่งผลให้ความร่วมมือหยุดชะงักและการจัดการข้อพิพาทถูกปล่อยปละละเลยมากว่า 60 ปี นำไปสู่เหตุการณ์กระทบกระทั่งกันเป็นระยะ แม้ไม่ถึงขั้นใช้อาวุธโดยตรงแต่ก็มีพฤติกรรมยั่วยุจากฝ่ายกัมพูชาปรากฏอยู่เสมอ ถ้าหากเจาะลึกลงดู “สถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงนี้” ส่วนหนึ่งก็มาจากกองทัพกัมพูชามีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้มีความทันสมัย และการเพิ่มขีดความสามารถกำลังพลพร้อมปฏิบัติการทางทหารประจำการตามแนวชายแดนดังนั้นแม้ระดับผู้บังคับบัญชาระดับสูง 2 ฝ่าย “ประชุมพูดคุยหาทางแก้ไขปัญหาความตึงเครียดที่เกิดขึ้น” แต่ปัญหาคือทหารระดับในพื้นที่โดยเฉพาะฝ่ายกัมพูชากลับไม่ค่อยปฏิบัติตามกรอบระเบียบมากเท่าไรนัก และในหลายกรณีก็มักดำเนินการลักษณะไม่สอดคล้องกับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงด้วยซ้ำสิ่งนี้นำมาสู่ภาพ “การปะทะคารม หรือการกระทำที่เพิ่มความตึงเครียดในพื้นที่” ลักษณะของการยั่วยุ หรือสร้างเรื่องขึ้นมาเอง โดยเฉพาะบริเวณจุดตั้งโบราณสถานอันเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์ เพราะมีคุณค่าในเชิงการท่องเที่ยวในพื้นที่เขตแดนที่ไม่ชัดเจนมักกลายเป็นจุดเปราะบางค่อนข้างสูง อย่างล่าสุดที่มีรายงานว่า “ฝ่ายกัมพูชาเปิดเพลงปลุกใจในบริเวณปราสาทตาเมือนธม” สิ่งนี้ดูเหมือนเป็นเพียงการกระทบกระทั่งเล็กน้อย แต่กลับสะท้อนให้เห็นว่าความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศที่พร้อมจะเกิดแรงกระเพื่อมได้ตลอดเวลา ตราบใดที่ปัญหาเรื่องเขตแดนยังไม่ได้รับการแก้ไขจัดการกันอย่างจริงจังย่อมมีความเสี่ยงลุกลามบานปลายซ้ำรอยเหมือนปี2554 “น้ำผึ้งหยดเดียว” ส่งผลให้เกิดการสู้รบยิงกันอย่างหนักตลอด 7 วัน 7 คืนแล้ว คราวนั้นคนที่ชื่อ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ก็เป็นผู้หย่าศึกด้วยการเจรจาผ่านช่องทางไม่เป็นทางการกับ พล.อ.ฮุน มาเนต ทำให้การปะทะยุติลงในเวลา 21.00 น. ของวันที่ 3 ก.พ.2554 เช่นนี้ทางออกของสถานการณ์ความตึงเครียดคือ “การกำหนดเขตแดนให้ชัดเจน” แล้วขณะนี้ก็เป็นช่วงโอกาสดีที่ทั้งฝ่ายไทย และฝ่ายกัมพูชาควรต้องเร่งเดินหน้าในการจัดการกับปัญหาเรื่องเขตแดนให้ชัดเจน เพราะกัมพูชาได้ผ่านพ้นช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจทางการเมืองจนประเทศอยู่ในภาวะมีเสถียรภาพมากขึ้นแล้วขณะเดียวกันความสัมพันธ์ระดับผู้นำระหว่างไทย-กัมพูชาต่างก็มีความเข้าใจกันดีมากเป็นพิเศษ ทำให้เป็นจังหวะห้วงเวลาเหมาะสมที่สุด “ในการผลักดันการเจรจา” เพื่อยุติข้อพิพาทเรื่องเขตแดนที่ยืดเยื้อมานานอันจะทำให้ชายแดนไทย-กัมพูชากลับมาเป็นพื้นที่แห่งความร่วมมือ ไม่ใช่พื้นที่แห่งความเคลือบแคลงใจกันอีกต่อไปแน่นอนว่า “คงไม่อาจแบ่งเขตแดนได้ตลอดแนวชายแดน 798 กม. ในคราวเดียว” แต่ก็ควรเริ่มต้นแก้ไขจุดเปราะบางที่มีความอ่อนไหวสูง “เกิดปัญหาต่อกันบ่อยครั้งก่อน” แล้วค่อยๆขับเคลื่อนกันไปทีละเล็กทีน้อยคราวละ 5-10 กม. สำหรับการเดินหน้าสำรวจพื้นที่ทับซ้อนร่วมกันระหว่างคณะทำงานของไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน ที่มักถูกใช้เป็นพื้นที่แสดงออกเชิงสัญลักษณ์อาจกำหนดกรอบทำงาน 3 เดือน 6 เดือน เพื่อให้เกิดความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม“หากสามารถกำหนดแนวเขตแดนได้แม้เป็นเพียงบางส่วนก็จะช่วยลดแรงเสียดทาน และลดความตึงเครียดในระดับปฏิบัติได้ดี ทั้งยังเป็นการแสดงเจตจำนงร่วมสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ 2 ประเทศ ในการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีอันจะเป็นต้นแบบการแก้ปัญหาจุดอื่นที่เหลืออยู่ตามแนวชายแดนในอนาคต” พล.อ.นิพัทธ์ว่า เรื่องนี้มีกลไกการดำเนินงานปักปันเขตแดนอยู่แล้วคือ “คณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา” (Joint Boundary Commission : JBC) ที่มีบทบาทสำคัญเฉพาะในด้านการเจรจา สำรวจ และการจัดทำแผนที่ร่วมในพื้นที่ที่ไม่มีการแบ่งเขตแดนแน่ชัด ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศได้ตกลงร่วมกัน เพื่อดำเนินการแบ่งเขตแดนตามหลักการทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และเอกสารสิทธิที่ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับร่วมกันเพียงแต่มีปัจจัยปัญหาในประเทศแต่ละฝ่ายทำให้การทำงานของ JBC ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาล่าช้าไปเช่นนี้หากรัฐบาลไทย และรัฐบาลกัมพูชาสามารถตกลงกันในระดับนโยบายแล้ว “ควรมอบหมายภารกิจไปยังคณะกรรมการ JBC” เพื่อจะเริ่มต้นทำให้พื้นที่พิพาทเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศมีความชัดเจนแล้วสิ่งนี้ยังเป็นสัญญาณสำคัญว่า “ไทย–กัมพูชาต่างพร้อมในการพัฒนาร่วมกัน” เพื่อทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวชายแดนสงบสุข และได้รับประโยชน์ด้านการค้าขายร่วมในระยะยาวด้วย ฉะนั้นคงถึงเวลา “ไทย–กัมพูชาต้องเดินหน้าร่วมกัน” ที่เปลี่ยนความไม่แน่นอนให้กลายเป็นความชัดเจน และเปลี่ยนความตึงเครียดให้กลายเป็นความร่วมมือ เพื่อยุติข้อพิพาทเขตแดนที่ยืดเยื้อมายาวนาน และลดความเสี่ยงของการเผชิญหน้าที่อาจปะทุขึ้นอีกในอนาคต­­­­­­­­­.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม