ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ ก.ค.2566 มีหลายเรื่องน่าอ่าน ยิ่งเป็นเรื่อง “โฮ่งๆ เมี้ยวๆ การเมืองเรื่อง พี่หมา น้องแมว หลังอภิวัฒน์กลางกรุงเทพฯ 2475 คนรักหมารักแมว ยิ่งไม่ควรพลาดคุณกำพล จำปาพันธ์ เริ่มต้นว่า สมัย ร.6 ถือเป็นยุครุ่งเรืองสูงสุดของหมา โดยมี “ย่าเหล” เป็นตัวแทนสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ขุนนางยังมีหน้าที่หลักในการถวายการรับใช้ ยังไม่ใช่รับราชการ ที่บทบาทหน้าที่หลักอยู่ที่การบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชน ดังนั้นสำหรับขุนนางในยุคนั้น ความเป็นที่โปรดปรานจึงสำคัญอย่างยิ่งในรัชกาลที่มีพระสหายสี่ขา ก็มีพระสหายสองขาเป็นคู่แข่งอดีตมหาดเล็กเล่าภูมิหลัง “ข้าพเจ้าชอบสุนัขมาก ฉะนั้นในโอกาสที่เข้าเฝ้า และอยู่ใกล้ย่าเหล ข้าพเจ้ามักจะรังแกมัน แอบบีบหาง บีบขา ดึงขนบ้าง แล้วแต่ใกล้อะไร ทำนองเดียวกันย่าเหลก็โกรธข้าพเจ้า หันมากัดบ้าง”แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่อง อันเนื่องจากข้าพเจ้าถูกกริ้วบ่อยๆ ครั้งหนึ่งถ้าจะทรงรำคาญ จึงมีพระราชดำรัสว่า“ไอ้นี่ชอบกัดกับหมาจริง นับแต่นั้นก็ทรงขนานนามข้าพเจ้าว่า ไอ้หมา”ย่าเหลเป็นหมานอกวังมาก่อน โปรดเลี้ยงในระบบเปิด ปล่อยให้วิ่งเล่นซุกซนตามใจ ทรงให้ทำป้ายแขวนคอ “สุนัขของพระเจ้าอยู่หัว ผู้ใดพบนำคืนจะได้รับพระราชทานรางวัล”เมื่อมันถูกกลั่นแกล้ง ก็ตอบโต้ตามประสาหมา การเห่าและกัดขุนนาง สร้างความเจ็บแค้นและอับอายแก่ขุนนางหลายคนย่าเหลถูกยิงตาย เมื่อ 18 กรกฎาคม 2456 คนยิงไม่ทราบชัดเป็นผู้ใด ทราบแต่เพียงว่าจะต้องเป็นบุคคลชั้นแวดวง สมัยนั้นราษฎรยังไม่มีปืนและกระสุนปืนชนิดเดียวกับที่สังหารมันพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เศร้าพระราชหฤทัยกับการจากไปของพระสหายสี่ขา โปรดให้นำร่างกลับไปที่สนามจันทร์นครปฐม ทรงให้สร้างเมรุฌาปนกิจศพที่วัดปฐมเจดีย์ โปรดให้จัดขบวนแห่ศพจากสนามจันทร์ไปยังวัดและโปรดให้สร้างอนุสาวรีย์ย่าเหลที่หน้าพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ พร้อมได้ทรงพระราชนิพนธ์บทกลอน“เพื่อนเป็นเยี่ยงอย่างมิตร์สนิทยิ่ง ภักดีจริงต่อกูอยู่เต็มที่ แม้คนใดเป็นได้อย่างเพื่อนนี้ ก็ควรนับว่าดีที่สุดเอย”แม้ชีวิตย่าเหลจะสิ้นสุดไปแล้ว แต่ยุครุ่งเรืองของหมาก็ยังรุ่งเรืองต่อ ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงตัวใหม่อีกหลายตัว ที่เมตตาเป็นพิเศษ คือ นันทา กับมากาเร็ต ความขัดแย้งระหว่างขุนนางรับใช้ใกล้ชิดยังดำเนินอยู่สืบมาเมื่อเวลาเสด็จเข้ามาเสวย พระสหายสี่ขาก็ตามเสด็จ จึงต้องมีก้อนน้ำแข็งทุบเป็นก้อนเล็กๆใส่จานให้ คนใกล้ชิดไม่มีน้ำกิน ก็แอบควักน้ำแข็งของเขากิน เป็นที่มาของคำประชด “วันนี้ใครแย่งน้ำหมากินบ้าง”ในจำนวนผู้ที่เคยแย่งหมากินสมัยนั้น มีพลโท ประยูร ภมรมนตรี รวมด้วยคุณประยูรก่อนไปเรียนต่อต่างประเทศ เป็นเพื่อนรัก หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) และจอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงถูกเรียกสหายสามป. “นี่คือผู้ร่วมกันคิดอ่านก่อการอภิวัฒน์สยาม”คุณประยูร เคยเล่า “เมื่อเป็นมหาดเล็ก มีหน้าที่ถือถวายอยู่งานพัดและนวด เวลาทรงพระอักษร บางครั้งข้าพเจ้านั่งหลับสัปหงก ก็โปรดทรงเตือนด้วยด้ามพัด ตอนเสวยไอศกรีม มักโปรดเกล้าส่งมาประทานให้ใต้โต๊ะบางครั้งพระราชทานขาไก่ ตอนนี้มักเกิดเรื่องวิบาก เพราะย่าเหลสุนัขตัวโปรดเข้ามาแย่ง”ผมเลือกคัดตัดตอน...เอาเรื่องเบาๆมาเล่าได้แค่นี้นะครับ...ส่วนที่เหลือ ไม่เฉพาะเรื่องหมาๆแมวๆ ยังมีเรื่องการเมือง เรื่องเศรษฐกิจอีกยาว...เริ่มหน้า 18 จบหน้า 24 อยากอ่านให้สะใจ ควรไปหาซื้อ “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับนี้อ่านกันเอง.กิเลน ประลองเชิง