ผมจะแว่บไปต่างจังหวัดสัก 3-4 วัน ตามคำชักชวนของคุณ “เบิร์ด” ธงไชย แมคอินไตย์ แบรนด์แอมบาสเดอร์ของ ททท.ที่เพิ่งออก แคมเปญใหม่ ชักชวนคนไทยให้เดินทางเที่ยวเมืองไทยอีกครั้งใน พ.ศ.นี้ภายใต้ชื่อโครงการ “เที่ยวเมืองไทย Amazing ยิ่งกว่าเดิม” และภายใต้แนวคิด “โมเมนต์ที่ใช่ สร้างได้ไม่ต้องรอ” นั่นแหละครับโมเมนต์ที่ใช่ของผมอยู่ที่ไหน? กลับมาแล้วค่อยบอกนะครับ เพราะสำหรับวันนี้ผมตั้งใจแค่จะบอกว่า ผมจะไปเที่ยว และจะขออนุญาตเขียนแบบมินิซีรีส์ล่วงหน้าทิ้งไว้สัก 3-4 วัน เช่นที่เคยปฏิบัติมาเผอิญเมื่อสัปดาห์ก่อนโน้นผมแวะไปเยี่ยมเพื่อนรักเกลอเก่า “เจ้าพ่อ” สื่อกีฬา...คุณ ระวิ โหลทอง ประธานใหญ่ของเครือ สยามสปอร์ตฯ ที่ท่านผู้อ่านคงรู้จักเป็นอย่างดีอยู่แล้วคุณระวิ ต้องไปขึ้นเขียงให้คุณหมอของ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ผ่าตัดเข่า ด้วยโรคที่เรียกกันว่า “ข้อเข่าเสื่อม” อยู่หลายวัน เพิ่งจะกลับไปทำกายภาพบำบัดต่อที่บ้านเมื่อเร็วๆนี้ระหว่างเยี่ยมก็คุยกันไปซักถามอาการของโรคไป และผลของการผ่าตัดไป ทำให้รู้ว่าคนเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมนั้นทุกข์ทรมานอย่างไร และแค่ไหน? และเหตุใดจึงต้องตัดสินใจมาผ่าตัดครั้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน รีบไปค้นหาข้อมูลอ่านต่อในเว็บสารพัดรู้ “กูเกิล” ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าโรคนี้อยู่ใกล้ๆตัวผม และคนไทยที่กำลังเป็น “ส.ว.” หรือผู้สูงวัยกว่า 12 ล้านคนทั่วประเทศในขณะนี้เหลือเกินน่าจะนำมาเขียนแนะนำวิธีป้องกัน และแนวทางรักษาต่างๆ ในคอลัมน์นี้บ้างเมื่อมีโอกาสเหนืออื่นใด แม้วันที่ผมไปเยี่ยมคุณระวิ จะมิได้พบคุณหมอที่นำทีม “เจี๋ยน” คุณระวิ แต่เห็นชื่อท่านที่แขวนไว้หน้าห้องพักผู้ป่วย ผมก็บอกกับคุณระวิทันทีว่า...ยูรู้ไหมเพื่อน?นี่แหละหมอผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าระดับเดี่ยว มือหนึ่งของประเทศไทย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ กีรติ เจริญชลวานิช หัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ และกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ที่เป็นข่าวคราวในสื่อมวลชนต่างๆบ่อยครั้งคุณหมอกีรติไม่เพียงแต่จะเก่งและมีชื่อเสียงด้านผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเท่านั้น ท่านยังเป็นหมอที่อุทิศตนให้แก่สังคมไทย และแบ่งเวลาออกไป “ผ่าเข่า” คนจนคนด้อยโอกาสมาแล้วเกือบทั่วประเทศน่าจะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่วงการแพทย์และสังคมไทยให้ผมเขียนได้สัก 3-4 วันอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) คือโรคที่เกิดจากการเสื่อมสภาพหรือการสึกหรอของผิวกระดูกอ่อนที่ข้อเข่า ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นไปตามอายุของมนุษย์เมื่ออายุมากขึ้น เดินมากขึ้น ข้อเข่าที่รับน้ำหนักจึงต้องเสื่อมลงไปบ้างเป็นของธรรมดาตัวเลขขององค์การอนามัยโลกระบุว่าเมื่อปี 2565 ทั่วโลกมีผู้ป่วยด้วยโรคนี้ประมาณ 600 ล้านคน เทียบกับประชากรโลกใกล้ๆ 8 พันล้านคนของทั่วโลก ก็ประมาณร้อยละ 13 ถือว่าเยอะเอาการอยู่ของไทยเราตัวเลขเมื่อปี 2564 บอกว่ามีคนป่วยด้วยโรคนี้ 6 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 11 ของประชากรไทยในปีเดียวกัน ซึ่งก็คงต้องถือว่าเยอะเช่นเดียวกันและถ้าเอาไปเทียบกับประชากรอายุเกิน 60 ปี ซึ่งมีประมาณ 12 ล้านคน ในปีที่ว่าก็จะถือว่าครึ่งหนึ่งของผู้สูงอายุหรือท่าน ส.ว.ที่เป็นโรคเข่าเสื่อมถึงได้บอกว่าเรื่องนี้อยู่ใกล้ตัวผมและผู้สูงอายุทั้งหลายแหล่ดังที่เขียนไว้ตอนต้นก็มาถึงคำถามข้อสำคัญที่ท่านผู้อ่านหลายท่านคงอยากรู้รวมทั้งผมด้วยคือ เมื่อเวลาเป็นโรคนี้แล้วสาหัสสากรรจ์แค่ไหน?คำตอบเท่าที่ค้นคว้าได้ค่อนข้างชัดเจนว่าโรคข้อเข่าเสื่อมไม่ใช่สาเหตุของการเสียชีวิตในทันทีทันใด หรือเสียชีวิตโดยตรง แต่อาจจะเป็นสาเหตุอ้อมๆ เพราะเวลาเป็นแล้วชีวิตจะหมดความสุข กลายเป็นต้องทนทุกข์ทรมาน จนอาจจะเกิดความเบื่อหน่ายท้อแท้ใจได้ในที่สุดคิดดูเถอะครับจะลุกจะเดินแม้แต่จะนั่งจะนอนก็เจ็บหัวเข่าไปหมด เดินขึ้นบันไดก็โอย ก้าวข้ามอะไรสูงๆหน่อยก็โอย...จะมีความสุขได้อย่างไร?พรุ่งนี้เราจะมาหาความรู้เรื่องโรคนี้ต่ออีกสักนิดแล้วจึงค่อยตัดภาพไปที่คุณหมอกีรติกับชีวิตที่อุทิศให้แก่ “ข้อเข่า” คนไทยไม่ว่ายากดีมีจน...กว่า 30 ปีที่ผ่านมา น่าสนใจมากครับขอบอก.“ซูม”