จับตาประชุม ศบค.ชุดใหญ่ 10 ก.ย.นี้ ถก เลิก “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ส่งผล ศบค. พ้นสภาพ ขณะที่ภาพรวมการติดเชื้อของไทยเริ่มลดลง แต่ยังยืนหลักหมื่นคน เสียชีวิตต่ำกว่า 200 ศพ เป็นวันแรก กทม.สถานการณ์เริ่มดี ยอดตายรายวันลด เตียงผู้ป่วยใน รพ.สนามว่างเพียบ เล็งปิดศูนย์แรกรับนิมิบุตรสิ้นเดือนนี้ เช่นเดียวกับ รพ.บุษราคัม คาดปิดได้ใน ต.ค. ส่วน ตจว. ยังเจอคลัสเตอร์ใหม่ผุดไม่หยุด พร้อมต้องเฝ้าระวังเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ “มิว” ที่ดื้อต่อวัคซีน พบแล้ว 39 ประเทศทั่วโลก และ “C1.2” ที่กลายพันธุ์ได้สูง แต่ยังไม่พบในไทยในขณะที่ยอดผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด-19) ในไทยเริ่มลดลงตามที่กระทรวงสาธารณสุขคาดหมาย แต่ยอดผู้เสียชีวิตรายวันยังสูง รัฐบาลก็เตรียมปรับทัพการบริหารจัดการโรคโควิดใหม่ เมื่อการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะครบกำหนดสิ้น ก.ย.นี้ จับตาทบทวนใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 6 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 3/2564 ผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอเรนซ์ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า และมีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์เรียกประชุม ศบค. ชุดใหญ่วันที่ 10 ก.ย. เวลา 13.30 น. นอกจากการประเมินสถานการณ์หลังคลายล็อกกว่า 1 สัปดาห์แล้ว จะพิจารณาทบทวนการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินทั้งมาตรา 5 การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร จะให้สิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.และรวมถึงมาตรา 9 ที่ใช้ออกข้อกำหนดต่างๆ กลับไปใช้กฎหมาย พ.ร.บ.โรคติดต่อแทน จะส่งผลให้ ศบค.สิ้นสภาพไปโดยปริยาย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบตามหน้าที่ปกติ โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไปติดเชื้อขาลงเหลือ 1.3 หมื่นสำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ในไทย เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 6 ก.ย.นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงที่ทำเนียบรัฐบาลว่าพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 13,988 คน (ไม่รวมการตรวจ ด้วยชุด ATK 2,404 คน) เป็นการติดเชื้อในประเทศ 13,527 คน มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 11,561 คน มาจากการค้นหาเชิงรุก 1,966 คน และ มาจากเรือนจำ 444 คน เป็นผู้เดินทางมาจากต่าง ประเทศ 17 คน หายป่วยเพิ่มขึ้น 17,284 คน อยู่ระหว่างรักษา 148,622 คน อาการหนัก 4,601 คน ใส่ท่อช่วยหายใจ 1,013 คน ตัวเลขตรงนี้มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ถือเป็นข่าวดี ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 1,294,522 คน ยอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 1,132,858 คนดับไม่ถึง 200 ศพวันแรกส่วนผู้ป่วยเสียชีวิต นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า มีรายงานเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 187 คน เป็นชาย 101 คน หญิง 86 คน ผู้เสียชีวิตที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 131 คน มีโรคเรื้อรัง 41 คน มีเด็กอายุ 13 ปีเสียชีวิต 1 คน พบว่ามีโรคประจำตัวที่ จ.ตาก เสียชีวิตที่บ้าน 1 คน อยู่ที่ จ.ระยอง ส่วน กทม.แม้ยังแชมป์เสียชีวิตสูงสุดที่ 24 ศพ แต่ยังน้อยกว่าจังหวัดปริมณฑลที่ยอดรวม 53 ศพ ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 13,042 คน ส่วนยอดผู้ได้รับวัคซีนของประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 ก.ย. มีการฉีดวัคซีนเพิ่ม 325,218 โดส รวมยอดฉีดวัคซีนสะสมตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. รวมทั้งสิ้น 35,912,894 โดส ถือว่ามาได้ครึ่งทางของเป้าหมายแล้ว แต่ในส่วนของหญิงตั้งครรภ์ยังต่ำอยู่ ขอเชิญชวนให้มาฉีดอย่างไรก็ตาม ถ้าดูเฉพาะอัตราการเสียชีวิตของโลกจะอยู่ที่ร้อยละ 2.07 แต่ของไทยอยู่ที่ร้อยละ 1.02 ถือว่าน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งโลก ดังนั้น สิ่งที่เราพยายามทำกันอยู่คือ การพยายามให้วัคซีนที่จะช่วยลดการเจ็บหนักและเสียชีวิต ติด-ตายพุ่งแน่หากการ์ดตกนพ.ทวีศิลป์กล่าวอีกว่า หากไปดูฉากทัศน์การคาดการณ์ผู้ติดเชื้อที่มีการทำไว้ก่อนหน้านี้จะเห็นว่า มาตรการที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากประชาชนระดับหนึ่ง ทำให้สถานการณ์จริงเป็นไปตามคาดการณ์ ผู้ติดเชื้อกรณีประชาชนให้ความร่วมมือร้อยละ 25 และวันนี้ถือว่าต่ำกว่ากราฟผู้ติดเชื้อที่มีการคาดการณ์เอาไว้แล้ว แต่เมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการก็ขอให้ประชาชนป้องกันตัวเองให้ดี การ์ดอย่าตก ไม่เช่นนั้นแรงเฉื่อยจะทำให้ช่วงปลายเดือน ก.ย. กับต้นเดือน ต.ค.ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะพุ่งกลับขึ้นมา และหากคุมไม่ดีอาจไปแตะ 3 หมื่นคนต่อวัน ขณะที่ผู้เสียชีวิตในปัจจุบันสอดคล้องกับเส้นกราฟที่มีการคาดการณ์กันไว้ แต่เดือน ต.ค.ยอดอาจจะพุ่งได้เช่นกันกทม.เริ่มดีขึ้นสังเวยลดลงต่อมาที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงการบริหารจัดการเตียงผู้ป่วยโควิด-19 ว่า ขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง ผู้ป่วยหนักที่ใช้เครื่องช่วยหายใจและผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีจำนวนลดลงเช่นกัน จากเดิมช่วงที่ระบาดหนัก ผู้เสียชีวิตใน กทม.และปริมณฑล จะมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตทั้งหมดของประเทศ ส่วนวันนี้ผู้เสียชีวิตใน กทม.ลดลงเหลือ 1 ใน 6 ของประเทศ ส่วนผู้ป่วยที่อยู่นอกโรงพยาบาลจะกักตัวที่บ้าน สะสมรวม 92,315 คน รักษาตัวอยู่ 53,594 คน หายป่วย 38,402 คน ส่วนผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้าน และมีอาการแย่ลง หากแพทย์ที่ดูแลแนะนำให้มารักษาตัวในโรงพยาบาลขอให้มา เพื่อจะได้ดูแลรักษาได้ใกล้ชิดมากขึ้นเตียงว่าง-เล็งปิดบุษราคัมนพ.สมศักดิ์กล่าวต่อว่า ส่วนผู้ป่วยในศูนย์พักคอย มีเตียงรองรับ 7,397 เตียง มีผู้ป่วยครองเตียง 1,593 เตียง เตียงว่าง 5,804 เตียง มีผู้ป่วยใหม่เข้ามาวันละ 100 คน มาตรการดูแลผู้ป่วยที่ศูนย์พักคอยก็ได้มาตรฐาน รองรับผู้ป่วย ไปแล้ว 17,822 คน ยังไม่มีรายใดเสียชีวิต โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่ช่วยดูแลศูนย์พักคอย นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลสนามประจำกลุ่มเขตของกรุงเทพ มหานคร อีก 8 แห่ง รองรับ 1,660 เตียง มีผู้ป่วย 584 คน เตียงว่าง 1,076 เตียง แสดงให้เห็นว่าเตียงในกรุงเทพฯดีขึ้น ส่วนที่ศูนย์แรกรับและส่งต่อที่นิมิบุตร รองรับได้ 200 เตียง มีผู้ป่วยสูงสุดรองรับไปถึง 350 เตียง ขณะนี้ลดลงเรื่อยๆ ข้อมูลวันที่ 5 ก.ย. มีผู้มารับการคัดกรอง 40 คน เหลือคงค้างเพียง 9 คนเท่านั้น ดังนั้น กรมจึงวางแผนไว้ว่าจะปิดศูนย์นิมิบุตร วันที่ 30 ก.ย.นี้ และจะย้ายไปเปิดศูนย์แรกรับและส่งต่อ รวมทั้งตั้ง รพ.สนามที่ รพ.เลิดสิน รองรับผู้ป่วยสีเหลืองและแดงได้ 200 เตียง ส่วนที่ รพ.บุษราคัม ที่อิมแพ็คเมืองทองธานี รองรับได้ 2,200 เตียง ขณะนี้มีผู้ป่วย 824 คน เตียงว่าง 1,376 เตียง และคาดว่าจะปิด รพ.บุษราคัมในเดือน ต.ค. แต่จะประเมินสถานการณ์ปลายเดือน ก.ย.อีกครั้ง ยังไม่พบสายพันธุ์ C1.2ส่วนที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการติดตามการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า การติดตามรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 28 ส.ค.ถึงวันที่ 3 ก.ย.64 ตรวจสายพันธุ์ 1,523 ตัวอย่าง พบสายพันธุ์เดลตา 1,417 ตัวอย่าง คิดเป็น ร้อยละ 93 สายพันธุ์อัลฟา 75 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 2 สายพันธุ์เบตา 31 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 5 แสดงให้เห็นว่าขณะนี้ไทยพบสายพันธุ์เดลตาเป็นสายพันธุ์หลัก พบแล้วทุกจังหวัด ส่วนสายพันธุ์เบตาจำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่ภาคใต้ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาพบที่ จ.นราธิวาส 28 คน ปัตตานี 2 คน ยะลา 1 คน ส่วนที่เคยพบสายพันธุ์เบตาที่กรุงเทพฯ และบึงกาฬ ไม่พบอีก ถือว่าจบสิ้นแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงวันที่ 14 ส.ค.64 ตรวจหาสายพันธุ์ไปแล้ว 12.5 ล้านตัวอย่าง เริ่มต้นด้วยการพบสายพันธุ์อู่ฮั่น สายพันธุ์จี สายพันธุ์อัลฟา และสายพันธ์เดลตา ส่วนสายพันธุ์ C1.2 ยังไม่ได้มีการตั้งชื่อกลางและยังไม่ได้รับการจัดชั้น แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่ามีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่เคยกลายพันธุ์ในสายพันธุ์อัลฟาและเดลตาที่ทำให้แพร่ได้เร็ว แต่ขณะนี้พบจำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่จะพบที่แอฟริกาใต้ แต่ต้องเฝ้าระวังเพราะมีอัตราการกลายพันธุ์สูงกว่าสายพันธุ์อื่น แต่ยังไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะ C1.2 ยังไม่พบในประเทศไทยตามติดโควิดสายพันธุ์มิวนพ.ศุภกิจกล่าวอีกว่า สำหรับสายพันธุ์มิวนั้น พบครั้งแรกที่ประเทศโคลอมเบีย พบแล้ว 39 ประเทศทั่วโลก และยังไม่พบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งมีการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง E484K เป็นตำแหน่งที่ดื้อวัคซีน การแพร่เชื้อและการติดเชื้อนั้น เมื่อเทียบกับเดลตาแล้วยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ ส่วนการหลบภูมิต้านทานและต้านวัคซีน ยังอยู่ในระดับต่ำ ภาพรวมแล้วสายพันธุ์มิวยังไม่น่าวิตก แต่ต้องติดตามดูต่อไปศึกษาการเกิดลิ่มเลือดหลังฉีดนพ.ศุภกิจกล่าวด้วยว่า ขณะนี้มีการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ ซิโนแวคและแอสตราเซเนกาไปแล้ว 2.5 ล้านโดส ยังไม่มีใครมีปัญหา ส่วนใหญ่เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากวัคซีนแอสตราเซเนกาคือ เป็นไข้ ปวดบวมบริเวณฉีด ขอยืนยันว่าการฉีดสูตรไขว้ ทำให้คนไทยมีภูมิคุ้มกันเพิ่มได้เร็วที่สุด และสามารถจัดการกับสายพันธุ์เดลตาได้ และกรมวิทยาศาสตร์จะนำข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาโอกาสเกิดลิ่มเลือดจากวัคซีนในคนไทย และวิธีการตรวจปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดลิ่มเลือดภายหลังการรับวัคซีนมารายงานให้สาธารณชนทราบ ส่วนกรณีมีข่าวว่าผู้รับวัคซีนสูตรไขว้แล้วเสียชีวิตหลังจากรับวัคซีนไม่นานนั้น ทุกกรณีจะนำเข้าพิจารณาในคณะกรรมการเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงปัตตานีเด็กกำพร้าจากโควิดพุ่งวันเดียวกัน นางสุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กระทรวงการพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์เด็กกำพร้าที่เป็นผลกระทบจากโรคโควิด-19 ว่าตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-4 ก.ย.2564 พบเด็กติดเชื้อโควิด 142,870 คน แบ่งเป็น กทม. 31,111 คน และภูมิภาค 111,759 คน ส่วนเด็กกำพร้าจากโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค.ถึง 4 ก.ย. มีจำนวน 369 คน 5 จังหวัดที่มีเด็กกำพร้ามากที่สุดคือ ปัตตานี 57 คน นราธิวาส 34 คน ยะลา 26 คน พระนครศรีอยุธยา 18 คน และกาฬสินธุ์ 14 คน ตามลำดับ ขณะที่กรุงเทพฯ 7 คน โดยเป็นการกำพร้าพ่อมากที่สุด 180 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 48.78 รองลงมากำพร้าแม่ 151 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 40.92 ขณะที่กำพร้าทั้งพ่อและแม่ 3 คน และไม่มีผู้ดูแล 35 คน ช่วงอายุเด็กกำพร้า ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 6-18 ปี รองลงมาช่วงแรกเกิดถึง 3 ปี ขณะที่เด็กกำพร้าที่มีอายุน้อยที่สุดคือ 1 วัน จากการสูญเสียแม่ ไม่แนะนำฉีดวัคซีนในเด็กด้าน ศ.เกียรติคุณ นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เด็กติดเชื้อโควิด-19 มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น เป็นกลุ่มเด็กโตอายุ 12-18 ปี ร้อยละ 38 อายุ 6-12 ปี ร้อยละ 32 ต่ำกว่า 6 ปี ร้อยละ 5 แต่อัตราเสียชีวิตในเด็กน้อยมาก ส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตเป็นเด็กโต 12-18 ปี เพราะมีโรคร่วม ขณะที่เด็กเล็ก 6-12 ปี ยังไม่มีรายงานเสียชีวิต เนื่องจากเด็กมีระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้เชื้อโรคใหม่ๆได้ดีกว่าผู้ใหญ่ และเด็กส่วนใหญ่รับเชื้อมาจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในครอบครัวและชุมชน ส่วนน้อยที่จะติดมาจากโรงเรียน ดังนั้นเด็กไม่ใช่ตัวแพร่เชื้อ ส่วนการฉีดวัคซีนในเด็ก ขณะนี้องค์การอนามัยโลกยังค้าน เพราะยังไม่มีวัคซีนตัวไหนรับรองการฉีดในเด็กแล้วปลอดภัย ดังนั้น การใส่อะไรเข้าไปในร่างกายเด็กต้องระวัง เพราะการตอบสนองร่างกายในเด็กต่างจากผู้ใหญ่ การเปิดเรียน อยากเน้นฉีดครู ผู้ดูแลให้ครบก่อน หากจะฉีดในเด็กให้เน้นกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคและเคร่งครัดในมาตรการสาธารณสุข คัดกรองตรวจเชื้อด้วย ATK ทุกสัปดาห์ในพื้นที่เสี่ยง หากพบการติดเชื้อเพียง 1 คน ก็ปิดเฉพาะส่วน ไม่จำเป็นต้องปิดทั้งโรงเรียนรพ.ภูมิพลฉีดไฟเซอร์เด็กกลุ่มเสี่ยงส่วนที่ รพ.ภูมิพล วันเดียวกัน มีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ให้กับเด็กมีอายุต่ำกว่า 18 ปีในกลุ่มเสี่ยง และยังไม่ได้ฉีดวัคซีน โดย น.ต.นพ.พลเทพ สุนทโร ที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ปัจจุบันมีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี และยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ดังนั้น ให้เด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมาฉีดวัคซีนไฟเซอร์เพื่อลดภาวะความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิดของเด็ก และในวันนี้มีเด็กอายุ 12 ปี เป็นโรคผนังหัวใจรั่ว ซึ่งมีความเสี่ยงสูงถ้าติดเชื้ออาจจะมีอาการรุนแรงได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้พ่อแม่ผู้ปกครอง รวมทั้งตัวเด็กเองมีความเชื่อมั่นในความปลอดภัยและควรจะต้องฉีดวัคซีนเพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากที่ผ่านมาเด็กที่ติดโควิดแล้วเสียชีวิตส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ถ้าได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจะสามารถป้องกันการเจ็บป่วยมีอาการรุนแรงหรือถึงขั้นเสียชีวิตได้คนแห่ขอเคลมเงินประกันนอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 08.00 น. วันเดียวกัน ที่บริษัท เดอะวัน ประกันภัย จำกัด (มหาชน) เลขที่ 492, 494 ซอยรัชดาภิเษก 26 ถนนรัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง กทม. มีกลุ่มผู้เอาประกันภัยจากโรคโควิด-19 “เจอจ่ายจบ” ราว 300 คน มีทั้งคนที่หายป่วยจากโรคโควิด-19 และยังอยู่ในช่วงกักตัว หรือรักษาแบบกักตัวที่บ้าน มารวมตัวกันที่หน้าบริษัท เดอะวันฯ เพื่อติดตามขอเคลมเงินประกัน หลังจากซื้อประกันกับบริษัท สินทรัพย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ต่อมาเมื่อเดือน มิ.ย.64 บริษัท สินทรัพย์ฯเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เดอะวันฯ แต่เกิดความล่าช้า และไม่สามารถติดต่อกับบริษัทเพื่อรับเงินประกันได้ มีนายอรัญ ศรีว่องไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเดอะวันฯ มาทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้เอาประกัน ยอมรับว่าเกิดความล่าช้าเพราะพนักงานมีน้อย และยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน บริษัทจ่ายค่าสินไหมไปแล้วกว่า 400 ล้านบาท หากผู้เอาประกันยื่นเอกสารเคลมครบถ้วน บริษัทตรวจสอบแล้วถูกต้อง นัดวันจ่ายค่าสินไหมให้ทันที ไม่เคยเบี้ยวผู้เอาประกันคปภ.ระบุมีปัญหาที่การสื่อสารด้านนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยกรณีประกันโควิดของบริษัทเดอะวันฯ ว่าได้สั่งให้ตั้งทีมงาน 4 ทีมมาดูแลและประสานไปยังบริษัทเดอะวัน ประกันภัย ในช่วงเช้าสามารถเคลียร์ปัญหาให้กับผู้เอาประกันภัยที่เดินทางมาร้องเรียน 100 คน ส่วนของบริษัทฯ คปภ.ได้ส่งทีมตรวจสอบเข้า บริษัทฯได้ปฏิบัติตาม 3 มาตรการเร่งด่วนคุ้มครองผู้บริโภคของ คปภ.แต่มีปัญหาในเรื่องของการสื่อสารกับผู้เอาประกัน จึงได้กำชับหลังจากนี้การสื่อสารกับผู้เอาประกันต้องชัดเจน ใช้ทุกช่องทางรวมทั้งออนไลน์ เพื่อให้ผู้เอาประกันเกิดความเชื่อมั่นจะได้รับเงินประกันตามที่ยื่นเคลม คลัสเตอร์ใหม่ผุดไม่หยุดส่วนในหลายจังหวัดต่างเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนทั่วไปและกลุ่ม 608 ผู้พิการ รวมถึงเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปที่มีโรคประจำตัว และตรวจเชิงรุกตามชุมชน เพื่อหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่อาจไม่แสดงอาการ ทำให้พบผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนหรือคลัสเตอร์หลายจุด อาทิ คลัสเตอร์แม่ค้าปลาทูนึ่ง ในตลาดไนท์บาร์ซ่า เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ยอดติดเชื้อรวม 10 คน เช่นเดียวกับ จ.นครราชสีมา พบ 5 คลัสเตอร์ใหม่ ได้แก่ คลัสเตอร์โรงน้ำแข็ง อ.ปากช่อง พบผู้ป่วยรวม 16 คน คลัสเตอร์โรงงานน้ำตาล อ.ครบุรีฯ พบผู้ติดเชื้อรวม 7 คน คลัสเตอร์พนักงานตัดไม้การไฟฟ้า อ.ปากช่อง ติดเชื้อ 12 คน คลัสเตอร์ครอบครัว ต.มะเกลือใหม่ อ.สูงเนิน ติดเชื้อ 9 คน และคลัสเตอร์ครอบครัว อ.จักราช ติดเชื้อรวม 12 คน ส่วนใน อ.จุน จ.พะเยา พบคลัสเตอร์ใหม่จากการอบรมโครงการค่ายเสริมทักษะชีวิตเพื่อป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา ที่โรงเรียนอนุบาลจุน (บ้านบัวสถาน) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-3 ก.ย.ที่ผ่านมา รวม 4 คน เป็นบุคลากรและนักเรียนในโรงเรียนอนุบาลจุน 2 คน นักเรียนโรงเรียนบ้านดอนมูล 2 คน และมีผู้มีความเสี่ยงหลายร้อยคนมะกันฉีดเข็ม 3 เดือนนี้ดร.แอนโธนี เฟาซี หัวหน้าที่ปรึกษาทางการแพทย์ของทำเนียบขาวเผยว่า สหรัฐฯอาจเริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 หรือวัคซีนเข็มกระตุ้นของไฟเซอร์ให้แก่ประชาชนทั่วไปตั้งแต่ 20 ก.ย. แต่ยังคงต้องรอการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (เอฟดีเอ) ก่อน ส่วนที่นิวซีแลนด์ได้ประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 8 ก.ย. โดยลดระดับจาก 3 เป็นระดับ 2 ทั่วประเทศ เพื่อให้เปิดโรงเรียน ที่ทำงาน และธุรกิจต่างๆ รวมทั้ง สามารถเดินทางระหว่างภูมิภาคได้ แต่ยังต้องสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ จำกัดการรวมตัวในสถานที่ปิดไม่เกิน 50 คน และที่กลางแจ้งสูงสุด 100 คน โดยยกเว้นที่โอ๊กแลนด์ เป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดยังคงอยู่ภายใต้มาตรการควบคุมระดับสูงสุดไปจนถึงวันที่ 14 ก.ย.