สัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อการเมืองโพลิติโกเปิดประเด็นวิจารณ์นายพีท เฮกเซธ รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ในลักษณะที่เหมือนกับการเตือนสติ
โดยระบุถึงเรื่องที่เจ้าตัวชอบไปออกกล้อง ประกาศถึงความจำเป็นที่เหล่าทัพสหรัฐฯ อาจต้องลดขนาด และไปเพิ่มความ “รบเก่ง” และมีขีดความสามารถใน “การฆ่าศัตรู” แทนที่ ถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่รู้จริง
หากศึกษาปฏิบัติการทางทหารมากกว่านี้ ย่อมมีสติที่จะเห็นได้ว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่การส่งคนไปตาย พล.อ.จอร์จ แพตตัน เคยกล่าวไว้ “ภารกิจของทหารไม่ใช่การสละชีพเพื่อชาติ แต่ให้ศัตรูสละชีพเพื่อชาติของมัน”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา การทำสงครามของสหรัฐฯที่ประสบผลลัพธ์อันโดดเด่น คือการ “ช่วยให้ประเทศอื่นมีความพร้อมรบ” ในสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯป้อนอาวุธ ยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาลให้กับพันธมิตรอย่างอังกฤษ สหภาพโซเวียตและอื่นๆ ส่วนกรณี ที่ส่งทหารอเมริกันยกพลขึ้นบกในวันดีเดย์ วิ่งชาร์จเข้าใส่รังปืนกลของเยอรมันนั่นหมายความ ว่า มันไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไป
การฝึกฝนทหารชาติพันธมิตรติดอาวุธให้ สอนวิธีใช้อาวุธของสหรัฐฯ ไปจนถึงการฝึกซ้อมร่วมกันในยามสันติ ย่อมมีประโยชน์เวลาเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งหรือสงครามในภูมิภาคต่างๆ เพราะจะเป็นการนำความรู้ประสบการณ์ในพื้นที่มาผสมผสานกับกลยุทธ์ของสหรัฐฯและประสิทธิภาพของอาวุธสหรัฐฯ
ในตอนนี้ รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ต้องการตัดหน่วยรบที่มีหน้าที่สอนงานให้ชาติพันธมิตร และหุ้นส่วน พร้อมทั้งพิจารณาลดจำนวนเสนาธิการและนายพล โดยอาจจะลืมไปว่า กลยุทธ์ในสนามรบที่ดี ย่อมไม่มีประโยชน์หากไร้ยุทธศาสตร์มากำหนดทิศทางในภาพรวม
หากให้เปรียบเทียบคงเรียกได้ว่าเหมือน มีรถเฟอร์รารี่แต่ไม่มีพวงมาลัยสำหรับบังคับขับขี่ การมีทหารราบที่รบเก่งจำนวนมาก ย่อมขาดประสิทธิภาพหากไม่มีนายทหาร เสนาธิการที่มีความรู้มาช่วยบริหารจัดการ
...
เสียงจากเพนตากอน ณ เพลานี้ โปรยแต่คำว่า lethal-ความสามารถในการทำให้ถึงตาย ซึ่งหมายถึงการฆ่าศัตรูอย่างรวดเร็วดุดัน แน่นอนว่ามันดูเท่ๆคูลๆ เวลาออกทีวีหรือหาเสียง แต่การรบจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น การมีพันธมิตรรบอยู่เคียงข้างคือหนทางสู่ชัยชนะที่ดีที่สุด.
ตุ๊ ปากเกร็ด
คลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม