สถานการณ์สงครามการค้าระหว่าง“สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป (อียู)” เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นนับแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีเหล็ก–อะลูมิเนียมนำเข้าจากทั่วโลก 25% นำมาซึ่งยุโรปโต้กลับเรียกเก็บภาษีต่างตอบแทนสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มีผลเดือน เม.ย.2568 นี้ครอบคลุมสินค้าอุปโภคบริโภคหลายรายการส่งผลให้ “ทรัมป์” ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าไวน์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากยุโรปเป็น 200% ทำให้ไฟแห่งสงครามการค้านี้โหมหนักร้อนแรงมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าดูข้อมูลจากศูนย์การค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ นำเข้าไวน์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำส้มสายชูจากอียูกว่า 14,200 ล้านดอลลาร์ข้อมูลจาก European Commission ในปี 2566 ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้า และการลงทุนระหว่างสหรัฐฯและอียู มีมูลค่า 1.6 ล้านล้านยูโรโดยสหรัฐฯขาดดุลการค้า 1.55 แสนล้านยูโร แต่เกินดุลภาคบริการ 1.04 แสนล้านยูโร ก่อเกิดการจ้างงาน และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อผู้ผลิต-ผู้บริโภคมีห่วงโซ่อุปทานเชื่อมโยงกันมากดังนั้นการเกิดสงครามตอบโต้ “กำแพงภาษีนำเข้าจะทำให้เศรษฐกิจ และระบบการค้าโลกทรุดตัวเร็วกว่าเดิมที่ประเมินไว้” โดยภาษีนำเข้าจะก่อเกิดการบิดเบือนระบบราคาสินค้าสหรัฐฯ-อียู ส่งผลกระทบระบบราคาในตลาดโลก ทำให้เศรษฐกิจทุนนิยมโลกาภิวัตน์เคลื่อนออกห่างประโยชน์การค้าเสรี และประสิทธิภาพสูงสุดแล้วเกิดการปรับตัวราคา และอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูงในหลายประเทศจนเกิดการปรับตัวปริมาณการผลิต การค้า การบริโภค การลงทุน และสวัสดิการโดยรวมระบบเศรษฐกิจ รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผอ.ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย มองว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-ยุโรปจะทำให้เกิดโอกาสทางเศรษฐกิจ การส่งออกสินค้า และบริการของเอเชีย โดยเฉพาะจีนกำลังการผลิตส่วนเกินจำนวนมากจะถูกใช้ตอบสนองต่อผู้บริโภคของหลายประเทศในยุโรปจากราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นจาก “กำแพงภาษี” แล้วแนวโน้มสงครามการค้าอาจเคลื่อนตัวสู่สงครามค่าเงินมากขึ้นทั้งเคลื่อนตัวสู่สงครามการค้าด้วยมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี มาตรการทางเทคนิค และมาตรการเลือกปฏิบัติมากขึ้นและยังจะเกิดปัญหาการชะลอตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯอันเป็นผลกระทบจากสงครามการค้า “อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นจากภาษีนำเข้า” จะกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่า ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลทำให้นักลงทุนถือครองทองคำมากขึ้นเนื่องจากเป็นสินทรัพย์มั่นคงปลอดภัยภายใต้สงครามทางการค้าที่มีโอกาสเดินหน้า 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทิศทางนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลงตราบเท่าที่สงครามการค้าขยายตัว และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.25-4.50% เป็นไปได้อาจปรับลดดอกเบี้ย มิ.ย.นี้ หลังเห็นสัญญาณการชะลอตัวลงเศรษฐกิจชัดเจนทว่าภาวะที่ “เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงพร้อมกับการหดตัวปริมาณการค้าโลก” ที่อาจมีหลายอุตสาหกรรมของไทยลดการจ้างงาน และปลดคนงานออก “รัฐบาล” จำเป็นต้องเพิ่มการใช้จ่ายเสริมสร้างสวัสดิการสังคมให้เข้มแข็งรับแรงกระแทกเศรษฐกิจโลก และรองรับคนว่างงานที่อาจเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้เพราะด้วยระบบการค้าเสรีจะทำให้ “ธุรกิจอุตสาหกรรมปรับตัว” ตามความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ และกลไกราคา “ธุรกิจอุตสาหกรรมของไทย” ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากการนำเข้า และการทุ่มตลาดจากต่างประเทศก็ต้องปรับตัวแข่งขันให้ได้ หากแข่งขันไม่ได้ต้องลด หรือเลิกผลิตสินค้านั้นแล้วเคลื่อนย้ายทรัพยากรผลิตสินค้าอื่นที่ไทยได้เปรียบ โดยรัฐต้องมีมาตรการช่วยสนับสนุน แต่ไทยไม่ควรเลือกวิธีตอบโต้ด้วยกำแพงภาษีเพราะผู้บริโภคชาวไทยได้รับผลกระทบขณะที่ผู้ผลิตภายในได้ประโยชน์ไม่มากในส่วน “สินค้าส่งออกไม่ใช่เพียงเผชิญกับกำแพงภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯเท่านั้น” หากแต่ยังเจอกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่ “ไม่ใช่ภาษี” โดยเฉพาะการอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงาน ชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรการกีดกันทางเทคนิคก็เป็นสิ่งที่ภาคส่งออกไทยต้องเตรียมรับมือเอาไว้ด้วย เนื่องจากหลายประเทศ “อาจนำมาใช้เป็นมาตรการแทรกแซงทางการค้า” ที่เป็นลัทธิปกป้องทางการค้าแนวใหม่ คือ 1.มาตรการคุณภาพสินค้าและกระบวนการทดสอบ มีการกำหนดมาตรฐานสินค้าไว้เคร่งครัดเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพผู้บริโภคในมาตรฐานขั้นต่ำให้มีความปลอดภัย และมาตรฐานความเป็นเลิศทางคุณภาพอันจะต้องมีใบรับรองมาตรฐานจากประเทศนำเข้า และผู้ส่งออกไม่สามารถออกเองได้ 2.การจัดระบบตลาดภายใน เพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางผู้เข้ามาแข่งขันรายใหม่จากต่างชาติ 3.การส่งเสริมการรวมกลุ่มบริษัทภายในให้มีลักษณะเป็น Vertical Integration เพื่อสร้างความได้เปรียบต่อสินค้านำเข้าจากประเทศคู่แข่งต่อมาคือ 4.การรวมกลุ่มกันเป็น Cartel เพื่อสร้างอำนาจผูกขาดและกีดกันสินค้าจากต่างประเทศ สุดท้ายอยากเสนอมาตรการแนวทาง “รับมือผลกระทบกำแพงภาษีนำเข้าต่อสินค้าไทยและสงครามการค้าขยายวงระหว่างสหรัฐฯและยุโรป” เบื้องต้นรัฐบาลควรประสานความร่วมมือกับภาคธุรกิจเอกชน ภาคแรงงาน และภาควิชาการในการติดตามสถานการณ์พลวัตของสงครามการค้า และผลกระทบอย่างใกล้ชิดถัดมา “ควรตั้งคณะทำงานกำหนดยุทธศาสตร์เจรจาต่อรองทางการค้า” ทำหน้าที่มากกว่าตามปกติของระบบราชการ การบูรณาการข้อมูลเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อใช้กำหนดการเจรจาทางการค้า และใช้มาตรการทางเทคนิคปกป้องอุตสาหกรรม-ตลาดแรงงานในประเทศจากผลกระทบการทุ่มตลาด แสวงหาตลาดใหม่ๆ “ทดแทนสินค้าถูกกีดกันจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ” แล้วโอกาสทางเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนได้เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯกับอียู “ควรตั้งทีมงานเจาะลึกไปยังผู้นำเข้าที่ต้องการแสวงหาสินค้าทดแทน” ส่วนมาตรการระยะยาวไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มผลิตภาพของทุน และแรงงานยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน การลงทุนวิจัยนวัตกรรม ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจ การแปรรูป และพัฒนาสินค้ามีมูลค่าสูงขึ้น สิ่งนี้ต้องเดินหน้าจริงจังภายใต้การมีเสถียรภาพระบอบประชาธิปไตยนี่คือสถานการณ์ “สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ–ยุโรป” กำลังก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย ที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และผู้บริโภค เช่นนี้การเตรียมตัวรับมือหามาตรการทางเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ประเทศไทยควรพิจารณา...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม