พลังงานความร้อนเป็นตัวขับเคลื่อนสภาพภูมิอากาศของโลก และการหยุดชะงักของกระแสน้ำในมหา สมุทรได้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงทั่วโลก มีการวิจัยพบว่าอุณหภูมิในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือและยุโรปลดลงระหว่าง 1.5-5 องศาเซลเซียส โดยคงอยู่ราวๆ 200 ปี ขณะที่ภูมิภาคอื่นๆก็ประสบปัญหาภาวะโลกร้อนสูงกว่าค่าเฉลี่ย ระดับฝนยังเพิ่มขึ้นในยุโรป ทว่าบางส่วนของแอฟริกากลับเผชิญกับสภาพอากาศที่แห้งกว่าและเกิดภัยแล้งเป็นเวลานานเมื่อเร็วๆนี้ ทีมวิจัยนำโดยนักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยลีดส์ ในอังกฤษ เผยว่า จากการใช้ตัวอย่างทางธรณีวิทยาจากปากแม่น้ำ Ythan ในสกอตแลนด์ ก็ทำให้ระบุถึงพืดน้ำแข็งที่กำลังละลาย ว่าเป็นสาเหตุที่เป็นไปได้ของเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งใหญ่เมื่อ 8,000 กว่าปีก่อน ในช่วงเวลานั้นมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือและยุโรปเหนือประสบกับความหนาวเย็นกว่านี้มาก เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของระบบกระแสน้ำในมหาสมุทรที่สำคัญ ซึ่งเรียกว่า Atlantic Meridional Overturning Circulation หรือ AMOCทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของ AMOC ยังส่งผลต่อรูปแบบปริมาณน้ำฝนทั่วโลก เชื่อกันว่าการไหลเข้าของน้ำจืดจำนวนมหาศาลลงสู่ทะเลน้ำเค็มของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือทำให้ AMOC พังทลายลง ซึ่งการวิเคราะห์หลักฐานเพิ่มเติมพบว่า มีแหล่งน้ำจืดหลักอย่างน้อย 2 แหล่งไหลลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ AMOC และไม่ใช่แหล่งน้ำจืดแห่งเดียวอย่างที่คิดไว้ก่อนหน้านี้.