ทั่วโลกต่างเฝ้าจับจ้อง “สถานการณ์ ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน” ยังคุกรุ่นมาหลายสัปดาห์พร้อมเปิดฉากปะทะก่อความรุนแรงบานปลายกลายเป็นสงครามครั้งใหญ่ในภูมิภาคได้ทุกเมื่อ นับตั้งแต่ “รัสเซียส่งกำลังทหารราว 1 แสนนายเข้าประชิดชายแดนยูเครน” เพื่อทำการซ้อมรบจนทำให้ “สหรัฐอเมริกา” ไม่เป็นที่ไว้ใจออกมาประกาศพร้อมตอบโต้รัสเซียอย่างรุนแรงหากรุกรานบุกยูเครนถ้าย้อนปมความขัดแย้งครั้งนี้มาจากในช่วงหลัง “ยูเครน” ได้รับสนับสนุนจากองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) มากขึ้นเรื่อยๆ ที่กำลังจะกลายเป็นภัยต่อความมั่นคงให้รัสเซียจนต้องแสดงท่าทีไม่ต้องการให้ยูเครนร่วมเป็นสมาชิกนาโตแล้วเรียกร้องให้ “นาโต และสหรัฐฯ” รับรองว่ายูเครน จะไม่ได้เป็นสมาชิกนาโตครั้งนี้ทั้งหยุดเคลื่อนไหวทางทหาร หยุดติดตั้งอาวุธในยุโรปตะวันออกใกล้ชายแดนรัสเซีย แต่ว่าคำขอร้องนั้นกลับถูกปฏิเสธ “รัสเซียจึงเคลื่อนกำลังทหารประชิดแนวชายแดนยูเครน” จนทำให้สหรัฐฯกล่าวอ้างว่า “รัสเซียเตรียมการรุกรานดินแดนยูเครน” ทั้งที่ฝ่ายรัสเซียยืนกรานปฏิเสธมาโดยตลอดไม่มีแผนบุกยูเครนด้วยซ้ำความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครนนี้ ดร.อดุลย์ กำไลทอง นักวิชาการอิสระในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านรัสเซีย วิเคราะห์ว่า ในแง่ประวัติศาสตร์เมื่อพันกว่าปีก่อน “รัสเซีย-ยูเครนเป็นชนชาติเดียวกันมาตลอด” ที่มีต้นกำเนิดศูนย์กลางเคียฟ (ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงยูเครน) แล้วก็มีการเพิ่มจำนวนประชากรมากขึ้นเรื่อยๆก่อนมาตั้งเมืองใหม่ “กรุงมอสโกก่อตัวเป็นจักรวรรดิรัสเซียสมัยพระเจ้าซาร์” ต่อมาก็กลายเป็น “สหภาพโซเวียต” ในช่วงนี้ความสัมพันธ์ของรัสเซีย-ยูเครนยังคงมีความใกล้ชิดแน่นแฟ้นเสมือนเป็นเครือญาติด้วยซ้ำ ดร.อดุลย์ กำไลทองไม่นานความใกล้ชิดนี้ก็เปลี่ยนไปหลัง “สหภาพโซเวียตล่มสลาย” ยูเครนแยกตัวเป็นเอกราชแต่ยังถูกครอบงำจากรัสเซียเสมอมา กระทั่งปี 2004 ก็มีกลุ่มขบวนการต่อต้านไม่ต้องการให้ยูเครนตกอยู่ใต้อิทธิพลรัสเซียแล้วเกิดการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่เรียกว่า “ปฏิวัติสีส้ม” (Orange Revolution) จนประสบความสำเร็จในเวลาต่อมาแล้วยูเครนเลือกตั้งได้ “ประธานาธิบดียูเครนฝ่ายนิยมชาติตะวันตก” กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญจาก “นโยบายมุ่งสร้างสัมพันธ์กับชาติตะวันตก” คราวนั้นรัสเซียเริ่มมีความรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้น เพราะยูเครนเคยเป็นเสมือนน้องรักแต่กลับแปรพรรคไปอยู่ชาติตะวันตก อันจะเป็นผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศแน่ๆเมื่อเช่นนี้ “รัสเซีย” ก็พยายามทำทุกวิถีทางให้ “ยูเครนกลับมาเป็นน้องรักเหมือนดังเดิม” ด้วยการซัพพอร์ตสนับสนุนฟื้นฟูความสัมพันธ์ในทุกๆด้าน แต่ด้วยการเมืองในยูเครนแตกแยกแบ่งเป็น 2 ฝ่าย มีทั้งฝ่ายนิยมรัสเซีย และฝ่ายนิยมชาติตะวันตก มาตลอดหลายสิบปีสุดท้ายในปี 2013 “ตัวแทนฝ่ายนิยมรัสเซียกลับมาเป็นประธานาธิบดียูเครน” แต่ฝ่ายนิยมชาติตะวันตกไม่เห็นด้วยก็ประท้วงอย่างรุนแรงนำไปสู่ “ก่อการรัฐประหาร” แล้วในปี 2014 รัฐสภายูเครนลงมติถอดถอนประธานาธิบดีฝ่ายนิยมรัสเซียจนต้องหนีออกนอกประเทศ ก่อนตั้งรัฐบาลฝ่ายนิยมชาติตะวันตกขึ้นมาใหม่แทน สิ่งนี้สร้างความไม่พอใจให้ “รัสเซีย” กลายเป็นชนวนความขัดแย้งนำมาสู่ “การเข้ายึดไครเมีย (Crimea)” แล้วมีการตรึงกำลังไว้อ้างว่าเป็นความประสงค์ของผู้คนในไครเมียต้องการแยกตัวออกจากยูเครนเข้ามาอยู่รัสเซีย ด้วยเหตุเพราะพื้นฐานทางประวัติศาสตร์คนไครเมียมากกว่า 90% เป็นคนรัสเซียดั้งเดิมอยู่แล้ว“ตอนนั้นรัฐบาลยูเครนไม่ยอมรับจึงนำมาซึ่งการลงประชามติ ผลโหวตก็เป็นตามคาด คนส่วนใหญ่ 95% เห็นชอบแยกตัวออกจากยูเครนไปรวมเข้ากับรัสเซียแทน แต่ว่าเรื่องนี้ตามหลักทำไม่ได้เพราะผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้นทางทฤษฎีไครเมียคงเป็นส่วนหนึ่งของยูเครน แต่ทางปฏิบัติเป็นของรัสเซียแล้ว” ดร.อดุลย์ว่าสิ่งนี้ตอกย้ำให้ “ผู้คนในดอนบาสส์ดินแดนฝั่งตะวันออกของยูเครน” ส่วนใหญ่ก็เป็นคนรัสเซียดั้งเดิมก็อยากแยกตัวออกจากยูเครนไปรวมเข้ากับรัสเซียด้วยเช่นกันแล้ว “ประกาศไม่ขออยู่ภายใต้การปกครองของยูเครน” ทำให้รัฐบาลยูเครนส่งทหารเข้าปราบปรามรัฐท้องถิ่นที่มีรัสเซียสนับสนุนเกิดการต่อสู้กันมาตลอดผลกระทบการสู้รบนี้ “ประชาชนต่างเดือดร้อนแสนสาหัส” สุดท้ายก็เจรจาหยุดยิงกัน 2 ฝ่าย ท่ามกลางความขัดแย้งในดินแดนภูมิภาคดอนบาสส์คงคุกรุ่นมาตั้งแต่ปี 2014-2020 กระทั่งถึงยุค “โจ ไบเดน” ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในนามพรรคเดโมแครตมุ่งเน้นความเป็นเบอร์ 1 ของโลก ก็ได้รื้อฟื้นเรื่องนี้กลับขึ้นมาใหม่ ตอกย้ำ...“โจมตีรัสเซียกำลังคุกคามยูเครน” มีจุดประสงค์หวังดึงยูเครนเข้ามาเป็นสมาชิกของนาโต ป้องกันไม่ให้รัสเซียขยายการยึดครองดินแดนในยูเครนเพิ่มมากกว่าเดิม แต่ว่า “รัสเซีย” ก็ไม่ยอมให้ยูเครนเข้ามาเป็นสมาชิกของนาโตอย่างเด็ดขาด เพราะจะกลายเป็นว่า “สหรัฐฯ และนาโต” มีสิทธิ์เข้ามาอยู่ในยูเครนได้เสมอเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เปรียบเสมือนว่า “รัสเซียถูกคนนำปืนประชิดหน้าบ้าน” อาจต้องสูญเสียดินแดนไครเมีย สิ่งนี้ทำให้รัสเซียไม่อาจยอมได้ ประกาศ “ห้ามยูเครนเข้าร่วมกับนาโตเด็ดขาด” แล้วเคลื่อนกำลังทหารประชิดชายแดนทว่าแล้ว “รัสเซียก็เคยประกาศแน่ชัดจะเปิดฉากโจมตียูเครน” แต่ด้วย “สหรัฐฯ” มีการประโคมข่าวให้ดูเหมือนใกล้เกิดสงครามเร็วๆนี้ เพื่อเรียกความสนใจจากประชาคมโลกเข้ามาแทรกแซงจัดการปัญหานี้ความจริงแล้ว “สถานการณ์ชายแดนยูเครน และรัสเซีย” ค่อนข้างตึงเครียดต่างฝ่ายต่างนำอาวุธมาประชิดกันแล้ว แต่ว่าผู้ใดเปิดฉากปะทะก่อนฝ่ายนั้นจะพ่ายแพ้ เพราะถูกสังคมโลกประณามว่ารุกรานประเทศอื่นทันที เช่นนี้ 2 ฝ่ายต่างไม่มีใครอยากเปิดฉากยิงปะทะก่อน จนใช้ยุทธวิธีสงครามข้อมูลยั่วยุกดดันตอบโต้กันไปมาแทน โดยเฉพาะ “รัสเซีย” มักถูกโจมตีกดดันกล่าวหา “เป็นฝ่ายรุกรานอันจะนำมาซึ่งสงคราม” เพื่อดิสเครดิตสร้างกระแสให้ตกเป็นจำเลยในสายตาชาวโลก ทั้งที่รัสเซียไม่เคยพูดไม่เคยหลงกลตามคำยั่วยุในการเปิดฉากยิงก่อนแน่ๆ แต่คงใช้วิธีตรึงกำลังทหารรอจนกว่าจะได้ตามคำขอจากนาโต และสหรัฐฯ ที่จะไม่รับยูเครนเป็นสมาชิกดังนั้นรัสเซียมิอาจถอนกำลังได้ทันที “เกรงเสียหน้าขาดความน่าเชื่อถือ” ที่คงตรึงกำลังทหารรอการพูดคุยเจรจาหาทางออกให้เหมาะสม แต่ว่าในระหว่างนี้ก็มีโอกาสเกิดการสร้างสถานการณ์ลักษณะเป็นนํ้าผึ้งหยดเดียวได้ทุกเมื่อ แล้วทันทีที่มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด นั้นหมายถึงเกิดการปะทะกัน 2 ฝ่าย กลายเป็นสงครามขึ้นแน่นอนมีคำถามสำคัญตามมาว่า “ยูเครนเข้าเป็นสมาชิกนาโต” แล้วสหรัฐฯ ได้ประโยชน์อะไร...? แน่นอนสิ่งสำคัญคือ “สามารถควบคุมรัสเซียได้” เพื่อนำมาซึ่งความเป็นเบอร์ 1 ของโลกเช่นเดิม เพราะด้วยตลอดหลายปีมานี้ “สหรัฐฯ” เผชิญการถูกลดบทบาทจาก “จีน และรัสเซีย” เข้ามาคานอำนาจอย่างหนัก ฉะนั้น “สหรัฐฯ” มองว่าสิ่งใดลดทอนอำนาจ “จีน และรัสเซีย” ต้องทำทุกวิธีเพื่อให้คงความเป็นนัมเบอร์วัน ถัดมาคือ “รัสเซีย” รับผลประโยชน์จากการขายก๊าซ และน้ำมันให้ยุโรปมากเกินไปจนก้าวเป็นประเทศส่งออกก๊าซเจ้าใหญ่ของโลก “สหรัฐฯ” ก็พยายามเข้ามาออปชันเป็นทางเลือกการขายพลังงานนี้ด้วยส่วนข้อกังวลสำหรับ “การเปิดฉากปะทะกันระหว่างรัสเซีย และยูเครน” ที่น่าจะเกิดเป็นสงครามภูมิภาคแบ่งเป็น 2 ฉากทัศน์ คือ ฉากทัศน์แรก...“สหรัฐฯส่งกำลังเข้ามาช่วยยูเครน” จากนั้นแซงก์ชันบอยคอตแล้ว “รัสเซีย” เข้ายึดดินแดนฝั่งตะวันออกของยูเครน สุดท้ายนำสู่ตัวกลางเข้ามาเจรจาหาข้อยุติสงครามนั้นฉากทัศน์ที่สอง...“ยูเครนแตกเป็นฝั่งตะวันตก และฝั่งตะวันออก” ที่กระทบต่อประชาชนเดือดร้อนแน่ๆ ดังนั้นตอนนี้ต้องรีบหาข้อยุติความขัดแย้งนี้โดยเฉพาะสหภาพยุโรป เช่น อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ควรต้องออกมามีบทบาทกว่านี้ เพราะถ้ายังปล่อยให้ถูกชี้นำ “ผู้เดือดร้อน” หนีไม่พ้นยุโรป รัสเซีย และยูเครนด้วยซ้ำอีกตัวแปรสำคัญคือ “ยูเครน” ต้องแก้เกมยึดมั่นรักษาความอยู่รอดตัดสินใจไม่ร่วมเป็นสมาชิกนาโต มิเช่นนั้น “ความขัดแย้งนี้จบได้ยาก” เพราะรัสเซียยื่นคำขาดสิ้นสุดแล้วปัญหาว่า “ยูเครน” กลับเลือกอยู่ในเกมอันเป็นแนวคิดรัฐบาลฝ่ายนิยมตะวันตกเข้ามาอยู่ในตำแหน่งชั่วครั้งชั่วคราว ที่ไม่ใช่เกิดจากความยินยอมจากคนทั้งประเทศ...ฉะนั้น การเกิดสงครามคงไม่ใช่เรื่องดีต่อทุกฝ่ายแน่ๆแล้วยังกระทบประชาชน “ยูเครน-รัสเซีย” ต้องเร่งใช้ช่องทางการทูตแสวงหาทางออกร่วมกัน “หลีกเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อ” อันเป็นวิถีทางดีที่สุด.