ด้วยความที่สหรัฐอเมริกาเป็นชาติมหาอำนาจทางการทหารของโลกมาตั้งแต่หลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ หากจะมีใครมาลูบคม หรือวัดรอยเท้าเพราะจากรายงานเมื่อต้นเดือน มิ.ย. ว่า กองทัพเรือปลดปล่อยประชาชนจีน เตรียมการซ้อมรบใหญ่ด้วยเรือบรรทุกเครื่องบินรุ่นใหม่ 2 ลำ ในพื้นที่เกาะดงชาของไต้หวัน และทะเลฟิลิปปินส์ ในเดือน ส.ค. นั้น ไม่ทันไรก็ปรากฏว่า รัฐบาลสหรัฐฯได้มีคำสั่งให้แสดงแสนยานุภาพทางเรือเป็นที่เรียบร้อยโดยสำนักข่าวเอพีระบุว่า เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมา กองทัพเรือสหรัฐฯได้ทำการเคลื่อนพลเรือบรรทุกเครื่องบิน จำนวน 3 กองเรือพร้อมๆกันในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เพื่อปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนระยะไกลประกอบไปด้วยกองเรือจู่โจมชุดแรก นำโดยเรือบรรทุกเครื่องบิน “ยูเอสเอส ธีโอดอร์ รูสเวลต์” ออกจากเกาะกวม มุ่งสู่ทะเลฟิลิปปินส์ ตามด้วยกองเรือจู่โจมชุดที่สอง นำโดยเรือบรรทุกเครื่องบิน “ยูเอสเอส นิมิตซ์” ออกจากฐานชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ มุ่งสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ขณะที่กองเรือจู่โจมชุดที่สาม นำโดยเรือบรรทุกเครื่องบิน “ยูเอสเอส โรนัลด์ เรแกน” ออกจากฐานทัพในญี่ปุ่น มุ่งหน้าสู่ทะเลทางตอนเหนือของฟิลิปปินส์ทั้งรายงานว่า กรณีนี้ไม่ใช่เป็นเหตุการณ์ปกติทั่วไป เนื่องจากภารกิจของเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ จะไม่ทำพร้อมๆกัน จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเหมือนการเข้าเวรขณะที่ พล.ร.ต.สตีเฟน โคห์เลอร์ ผู้บัญชาการฝ่ายปฏิบัติการทัพเรือ ศูนย์บัญชาการภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ชี้แจงว่า เป็นแค่การแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในการร่วมมือกับพันธมิตรและภูมิภาคส่วนทางกลาโหมเพนตากอนสหรัฐฯได้ระบุไว้ชัดก่อนหน้านี้ว่า ความวิตกกังวลด้านความมั่นคงที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯคือเรื่องจีน และรัฐบาลอยู่ระหว่างเคลื่อนย้ายทรัพยากรและกำลังรบเข้าไปในภูมิภาคมากขึ้น เพื่อยับยั้งความทะเยอทะยานของจีนในด้านเศรษฐกิจและการทหารที่นับวันยิ่งทวีคูณแต่เอาเข้าจริง งานนี้มีนักวิเคราะห์ความมั่นคงสงสัยว่าสหรัฐฯเมื่อก่อนทำได้ แต่ตอนนี้จะเก่งได้เหมือนเดิมหรือเปล่า ยิ่งขณะนี้ปัญหาในประเทศก็วุ่นวายอยู่แล้วเรื่องไวรัสโควิด-19 และประเด็นผิวสี ทั้งหากเดิมเกมผลีผลาม จะทำให้จีนเอาไปอ้างได้อีกว่า อเมริกานี่แหละคือตัวป่วนเสถียรภาพของภูมิภาค.ตุ๊ ปากเกร็ด