จบวิกฤติไวรัสโควิด-19 เมื่อไหร่ โลกจะพลิกโฉมหน้าไปอย่างไม่มีวันเหมือนเดิมแน่นอน ความเปลี่ยนแปลงแรกที่ส่อเค้าลางชัดก็คือ อนาคตข้างหน้าลูกพี่ใหญ่อย่าง “อเมริกา” จะไม่ใช่มหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกอีกต่อไป เพราะชาวโลกหมดศรัทธาเต็มทนกับวิธีรับมือโรคระบาดใหญ่ของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ที่สุดแสนจะด้อยประสิทธิภาพ
สื่อใหญ่ทรงอิทธิพลของอังกฤษ “เดอะ การ์เดียน” วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าโลกในอนาคต ที่แน่ๆ “จีน” มีแต้มต่ออย่างเห็นได้ชัด เพราะจัดการได้เบ็ดเสร็จอยู่หมัด เคลียร์ไวรัสสายพันธุ์ใหม่พ้นจุดวิกฤติภายในเวลา 3 เดือน แถมยังแสดงความเป็นพี่ใหญ่ส่งทีมแพทย์และชุดกู้ภัยไปช่วยเหลือประเทศที่กำลังวิกฤติหนัก ทั้งอิตาลี, อิหร่าน และสเปน ขณะเดียว กัน ก็ยื่นมือให้ความช่วยเหลือด้านเวชภัณฑ์ทางการแพทย์อย่างเต็มที่กับประเทศที่ขาดแคลน เช่น เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย รวมถึงประเทศไทย พร้อมแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์ในการต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19
ในขณะที่ชาวโลกกำลังซาบซึ้งในน้ำใจของพี่ใหญ่แดนมังกร และเห็นพ้องว่าถึงเวลาเปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติทั่วโลกที่ควรหันมารักใคร่กลมเกลียวกันเพื่อสู้กับวิกฤติ ด้านผู้นำสายป่วนอย่าง “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” กลับแดกดันว่าจีนทำเพื่อเอาหน้า และชดใช้ความผิดให้ชาวโลก โทษฐานเป็นตัวการก่อให้เกิดการแพร่ระบาดหนักไปทั่วโลกในครั้งนี้ เพราะต้นตอมาจากเมืองอู่ฮั่น ทรัมป์ถึงขนาดเรียกเต็มปากเต็มคำว่า “ไชนีสไวรัส”
...
เปรียบเทียบน้ำใจและการกระทำแล้ว ใครสมควรเป็นมหาอำนาจตัวจริงของโลกในยุคหน้า ก็คงไม่ต้องบอกใช่ไหม?!
ในขณะที่วิกฤติไวรัสโควิด-19 ทำให้ชาวโลกรักใคร่และสามัคคีกันมากขึ้น ยกเว้นพวกขวางโลก!! ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประจำมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด “ศาสตราจารย์สตีเฟน วอล์ท” ก็มองมุมต่างว่า การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่อาจหนุนส่งให้ลัทธิชาตินิยมของแต่ละประเทศกล้าแข็งขึ้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลทุกระบอบทุกประเทศได้นำมาตรการฉุกเฉินและ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาใช้เพื่อสู้กับวิกฤติดังกล่าว แต่เมื่อจบวิกฤตการณ์ลง หลายๆ ประเทศอาจลังเลใจที่จะยกเลิกเครื่องมือสำคัญในการควบคุมสถานการณ์ยามฉุกเฉินแบบเบ็ดเสร็จ
เขายังวิเคราะห์อีกว่า โควิด-19 จะกระตุ้นให้เกิดการถ่ายเทอำนาจและอิทธิพลจากโลกตะวันตกไปสู่โลกตะวันออก อันเป็นผลมาจากความอ่อนด้อยในการรับมือกับโรคระบาดของอเมริกาและยุโรป เมื่อเปรียบเทียบกับความมีประสิทธิภาพของจีน, เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ อนาคตข้างหน้าประชากรโลกจะมองหารัฐบาลชาตินิยมที่พร้อมออกมาปกป้องประชาชนและประเทศชาติ เมื่อยามต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ ขณะเดียวกัน ก็ค่อยๆเสื่อมศรัทธาต่อกระแสโลกาภิวัตน์ ที่กำลังครอบงำโลกอยู่ในขณะนี้โลกยุคหน้าจะมีความเป็นเสรีนิยมน้อยลง และมีความเป็นทุนนิยมน้อยลง ทว่า กระแสชาตินิยมจะมาแรงขึ้นในทุกซีกโลก
ถึงยุคประเทศของเราต้องมาก่อน รัฐบาลไหนอยากได้คะแนน เสียงก็ต้องยืดอกปกป้องประชาชนและประเทศชาติ แทนที่จะรับใช้ตะวันตกเหมือนเคย ใครชังชาติไม่รักชาติคงอยู่ยาก!!
มิสแซฟไฟร์