อาทิตย์ 23 มิถุนายน 2562 มีการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 34 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ การประชุมอาเซียนในปีนี้

ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี ที่เคยมีข้อตำหนิติเตียนไทยว่าไม่ควรเป็นประธานอาเซียนเพราะเป็นประเทศที่มีการปฏิวัติรัฐประหาร ไม่มีการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตย ข้อตำหนินั้นก็ตกไปเพราะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 24 มีนาคม 2562

เปิดฟ้าส่องโลกเป็นคอลัมน์อาเซียนนิยม เรามีความเชื่อว่าหาก 10 ประเทศที่เป็นสมาชิกสมาคมแห่งประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความกลมเกลียวเหนียวแน่น เราก็จะเป็นภูมิภาคที่มีน้ำหนักในการเจรจาต่อรอง เราเชื่อว่า แม้เศรษฐกิจโลกจะไม่ดี หรือมีการโจมตีทางเศรษฐกิจจากมหาอำนาจไปยังประเทศที่เป็นสมาชิกอาเซียน การบริโภคและการท่องเที่ยวภายในภูมิภาคจะยังช่วยให้เราไม่หกคะเมนตีลังกาล้มคว่ำคะมำหงาย

สมัยก่อนตอนที่ทรัมป์ยังไม่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นยุคที่โอบามาและพรรคเดโมแครตครองอำนาจบริหาร โอบามาและเดโมแครตส่งเสริม Trans-Pacific Partnership หรือ TPP ที่เราเรียกเป็นภาษาไทยว่า ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ดูเหมือนว่า 4 ประเทศซึ่งเป็นสมาชิกทีพีพีและอาเซียนในเวลาเดียวกันจะให้ความสำคัญกับทีพีพีมากกว่าอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นบรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม ทำให้การกระดิกพลิกตัวของ 4 ประเทศในอาเซียนเบามาก

จีนเป็นประเทศที่จะต่อสู้กับทีพีพีโดยการใช้ Regional Comprehensive Economic Partnership หรือ RCEP อาร์เซ็ป ซึ่งเป็นความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาคที่เป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศกับคู่ภาคีอีก 6 ประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ บางคนเรียกว่า อาเซียน +6 ซึ่งตื่นตัวมาจากการประชุมอาเซียนซัมมิตครั้งที่ 21 ที่กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2555

...

ในช่วงที่ทีพีพียังไม่โดนทรัมป์ถล่ม มาเลเซียและเวียดนามมีท่าทีว่าจะทุ่มตัวสุดลิ่มทิ่มประตูกับทีพีพี แต่โชคดีครับที่ทีพีพีอ่อนแอ ถ้าเราสามารถนำให้อาร์เซ็ปแข็งแรง ทุกประเทศก็จะได้ประโยชน์จากการที่ไทยเป็นประธานอาเซียนในครั้งนี้มากขึ้น

ผมไม่ชอบนายแรนดัลล์ ชไรเวอร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมด้านกิจการอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ เพราะแกไปพูดในงานเสวนาของสภาการค้าอาเซียน-สหรัฐฯก่อนที่จะมีการประชุมอาเซียนซัมมิต ครั้งที่ 34 ว่า “จากสถานการณ์ปัจจุบัน สมาชิกประชาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 10 ประเทศอยู่ในภาวะที่จำเป็นต้องตัดสินใจ และไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ระหว่างข้อเสนอจากสหรัฐฯและจีน ซึ่งทั้งสองประเทศต่างกำลังแข่งขันกันขยายอิทธิพลในทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้”

คำพูดของนายชไรเวอร์ก็คือ รัฐบาลสหรัฐฯถามอาเซียนว่า พวกยูจะเอายังไง ยูจะเลือกใคร ระหว่างสหรัฐฯหรือจีน

นายชไรเวอร์บอกว่านี่เป็นคำแนะนำที่แกอ้างอิงตามสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ว่าอาเซียนจะเลือกความสงบสุขที่เคารพอธิปไตยระหว่างกัน (หากเลือกสหรัฐฯ) หรือเลือกการมีข้อพิพาทตลอดเวลา (หากเลือกจีน) ข้อความที่อยู่ในวงเล็บนี่ผมเติมเองนะครับ ผมไม่ชอบคำพูดของนายชไรเวอร์ที่แกพูดต่ออีกว่า “(อาเซียนจะเลือกอะไร ระหว่าง) การเลือกคบค้าสมาคมกับประเทศคู่ค้าตามข้อตกลงที่ยุติธรรมต่อทั้งสองฝ่าย และการสนับสนุนมาตรฐานระหว่างประเทศเกี่ยวกับเสรีภาพในการลาดตระเวนทั้งทางทะเลและอากาศ”

ระยะหลัง จีนไม่ค่อยยอมที่สหรัฐฯมาทำทะลึ่งตึงตังลาดตระเวนในน่านฟ้าและในทะเลจีนใต้ สหรัฐฯก็ต้องการการสนับสนุนจากสมาชิกของอาเซียนโดยนายชไรเวอร์รู้ว่ามีสมาชิกอาเซียนหลายประเทศที่มีประเด็นพิพาทกับจีนในปัญหาทะเลจีนใต้อยู่

ในการเสวนาของสภาการค้าอาเซียน-สหรัฐฯ นายชไรเวอร์ยังโจมตีจีนต่อไปอีกว่า แผนยุทธศาสตร์การค้าและพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางหรือเส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 ของจีน เต็มไปด้วยความเสี่ยงของภาระหนี้สิน การคอร์รัปชันในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐ ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคม “ที่ข้าพเจ้าพูดนี่ ข้าพเจ้าอ้างอิงจากรายงานธนาคารโลกนะครับ”

ผมขอโต้หน่อยว่า “ธนาคารโลกก็พวกเอ็งไม่ใช่หรือ?”.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com