
แม้ช่วงที่ผ่านมาหลายฝ่ายจับตาคลื่นเลย์ออฟระลอกใหญ่ในภาคเทคโนโลยี หลังบรรดาบิ๊กเทคเริ่มทยอยปลดคนหลายอัตราเพื่อจัดสรรทรัพยากรใหม่ในการอัดฉีดการพัฒนา AI อย่างไรก็ตามอีกหนึ่งคลื่นที่กำลังถาโถมภาคเทคโนโลยีในช่วงเวลาเดียวกัน คือ การเปิดฉาก “ศึกแย่งชิงบุคลากร AI” อย่างดุเดือด โดยเฉพาะตัวเต็งในสนามอย่าง Meta ที่ขึ้นแท่นดีลซื้อบริษัทเพื่อดึงบุคลากรที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์
หลังประกาศลงทุน 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน Scale AI สตาร์ทอัปด้านการจัดการข้อมูล (Data labeling) พร้อมดึงตัว Alexandr Wang ซีอีโอวัย 28 ปีมาร่วมทีม ด้วยดีลเงินสดและหุ้นที่มีมูลค่ารวม 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือก่อนหน้าที่มีรายงานออกมาว่า Meta ได้เสนอโบนัสเซ็นสัญญาสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับนักวิจัย AI จากบริษัทคู่แข่งเพื่อดึงตัวมาอยู่ในแล็บใหม่ ทั้งจาก OpenAI, Anthropic, GitHub, Google DeepMind, Safe Intelligence ซึ่งทั้งหมดก็เพราะต้องการกู้ชื่อเสียงหลังจาก Llama 4 โมเดลล่าสุดของบริษัททำผลงานได้น่าผิดหวัง
อ่านเพิ่มเติม
จะเห็นว่าสงครามนี้ปัญหาหลักไม่ใช่ไม่มีคนเก่งหรือขาดแคลนแรงงานทั่วไปในสายเทคฯ ทั่วไป เพราะตอนนี้ซิลิคอนวัลเลย์หรือในตลาดเกิดใหม่เต็มไปด้วยวิศวกรซอฟต์แวร์ อีกทั้งหลายบริษัทก็หันมาใช้เครื่องมือ AI Coding Tools เพื่อลดต้นทุนแล้ว ทำให้สิ่งที่ยังคงสร้างความแตกต่างได้มีเพียง “ข้อมูล” และ “คนเก่ง” เท่านั้น ความสามารถในการดึงดูดนักลงทุนของสตาร์ทอัป หรือการรักษาราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน ก็มักอิงอยู่กับกระแสที่เกิดจากการมีคนเก่งอยู่ในทีมนั่นเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความยากในการสร้าง “ข้อได้เปรียบที่คู่แข่งตามไม่ทัน” ในโลกเทคโนโลยีแห่งอนาคตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและใครก็สามารถเข้าถึงชิป AI หรือดาต้าเซ็นเตอร์ได้พอๆ กันนั่นเอง
อ่านเพิ่มเติม Alexandr Wang แห่ง Scale AI ว่าที่ Elon Musk คนต่อไป ? ทำไม Meta ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อร่วมงานด้วย
โดยล่าสุดทั่วโลกจับตาการแย่งชิงหัวกะทิอีกครั้ง เมื่อ Ruoming Pang ผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนา Apple Intelligence เตรียมย้ายไปร่วมงานกับ Meta ที่กำลังเดินหน้ากวาดตัวท็อปด้าน AI จากทั่วโลก ซึ่งอาจสร้างผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อ Apple ที่การสานต่อ Apple Intelligence และฟีเจอร์ AI อื่น ๆ อาจหยุดชะงัก จากการเปลี่ยนแปลงของทีมงานที่เจอปัญหาหลายด้าน และอาจทำให้เส้นทางการพัฒนา AI ไปต่อไม่ได้หลังจากนี้
Ruoming Pang ร่วมงานกับ Apple ตั้งแต่ปี 2021 หลังย้ายมาจาก Alphabet เพื่อมารับตำแหน่งผู้จัดการทีม Apple Foundation Models (AFM) ซึ่งดูแลการพัฒนาโมเดลพื้นฐานของ Apple Intelligence และฟีเจอร์ AI บนอุปกรณ์ของ Apple รวมถึงการพัฒนา Siri เวอร์ชันใหม่
แต่ในช่วงหลัง ทีม AFM กลับถูกตรวจสอบจากผู้นำชุดใหม่ที่กำลังพิจารณาการใช้โมเดลจากภายนอก เช่น OpenAI หรือ Anthropic แทนการพัฒนาเอง ทำให้ขวัญกำลังใจในทีมตกต่ำโดยมีรายงานว่าอีกหลายคนในทีม AFM ก็เตรียมลาออกตาม เช่นเดียวกับ Tom Gunter รองของ Pang ที่ออกจาก Apple ไปเมื่อเดือนก่อน
แม้ Apple จะยังเดินหน้าพัฒนา Siri รุ่นใหม่ด้วยโมเดลจากทีมของ Pang ซึ่งรองรับฟีเจอร์อย่าง Genmoji, การสรุปอีเมล/บทความ และการแจ้งเตือนอัจฉริยะ แต่การตัดสินใจภายในกลับสะท้อนถึงทิศทางที่ไม่ชัดเจนของบริษัท การลาออกของ Pang จึงนับเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญที่สุดในสาย AI ของ Apple นับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ
รายงานระบุว่า Meta ได้เสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนให้ Pang สูงถึง “หลักสิบล้านดอลลาร์ต่อปี” เพื่อดึงตัวเขาไปร่วมทีม “Superintelligence” ที่ตั้งขึ้นใหม่ โดยอยู่ภายใต้การผลักดันของซีอีโอ Mark Zuckerberg ที่ได้ประกาศชัดให้ AI เป็นภารกิจอันดับหนึ่งของ Meta โดยมีเป้าหมายพัฒนา AI ที่ฉลาดหรือสามารถทำงานได้เทียบเท่าหรือเหนือกว่ามนุษย์ และเตรียมลงทุนอีกหลายหมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์และชิป AI ของตนเองในปีนี้
ทักษะของ Pang ในการออกแบบโมเดล AI ขนาดเล็กที่สามารถทำงานบนอุปกรณ์โดยตรง (On-device AI) อาจเป็นประโยชน์ต่อ Meta อย่างมากหลังจากนี้ ทั้งนี้ตำแหน่งของเขาจะถูกส่งต่อให้กับ Zhifeng Chen พร้อมปรับโครงสร้างการบริหารใหม่ โดยมีผู้จัดการหลายคนดูแลทีมย่อย ได้แก่ Chong Wang, Zirui Wang, Chung-Cheng Chiu และ Guoli Yin
อ่านเพิ่มเติม
ในภาพรวมกลยุทธ์ AI ของ Apple ตอนนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ Craig Federighi หัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ และ Mike Rockwell ผู้อยู่เบื้องหลัง Apple Vision Pro ซึ่งปัจจุบันรับผิดชอบการพัฒนา Siri แทน John Giannandrea ที่ถูกลดบทบาทเมื่อต้นปี จากผลงานที่ล่าช้าและเสียงตอบรับที่ไม่ดีนักต่อฟีเจอร์ AI ใหม่
สำหรับ Apple การสูญเสียหัวหน้าทีมอย่าง Ruoming Pang และแนวโน้มที่อาจมีวิศวกร AI ลาออกตามอีกหลายราย สะท้อนความท้าทายที่บริษัทกำลังเผชิญในศึกแข่งขันด้าน AI ที่กำลังร้อนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ
แม้ Apple จะยังมีทรัพยากรและแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เพื่อเติมเต็มเทคโนโลยี AI ในระยะสั้นแต่อาจทำให้เสียความได้เปรียบในการควบคุมเทคโนโลยีเองในระยะยาว ขณะเดียวกันการเปลี่ยนโครงสร้างภายใน การลดบทบาทของผู้บริหารบางคนและการปรับทีม AFM ใหม่ อาจสะท้อนถึงการพยายามตั้งหลักใหม่ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่า Apple จะสามารถฟื้นความเชื่อมั่นจากทั้งทีมวิจัยภายในและผู้ใช้งานได้มากน้อยแค่ไหน
อ้างอิงข้อมูล Bloomberg , Business Insider , Financial Times
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -