มาหยา เบย์ Maya Bay อ่าวน้ำทะเลสีเทอร์ควอยส์ ที่เคยเป็นภาพจำในฐานะเกาะลึกลับกลางมหาสมุทร จากภาพยนตร์เรื่อง The Beach ได้ฤกษ์เปิดตัวอีกครั้งหลังปิดมานานกว่า 3 ปีอ่าวมาหยาถูกเปรียบเปรยว่าเป็นเกาะสวรรค์สำหรับนักท่องเที่ยว (Paradise Island) ทั้งด้วยความงดงามของธรรมชาติ และความสมบูรณ์ของสัตว์น้ำอย่าง “ฉลามหูดำ” ที่เข้ามาหากินหรือสืบพันธุ์และออกลูกเป็นระยะๆภายในลากูนที่มีลักษณะพิเศษด้วยแนวปะการังน้ำตื้นที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ เราเดินทางถึง “อ่าวมาหยา” ในช่วงบ่าย หลังจากจอดเรือที่อ่าวโล๊ะซามะ ซึ่งทางอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี กำหนดพื้นที่สำหรับจอดเรือ พร้อมมาตรการเข้มให้จอดได้เพียงครั้งละ 8 ลำ และกำหนดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความสวยงามของอ่าวมาหยาได้แค่ครั้งละ 1 ชั่วโมง รอบละไม่เกิน 300 คน และห้ามเล่นน้ำที่ชายหาดเด็ดขาด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ Overtourism เหมือนที่ผ่านมา รวมทั้งเหมือนกับแหล่งท่องเที่ยวดังๆหลายแห่งในโลก เช่น เวนิส โรม ปารีส ที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมวันละ 4-5 พันคน จนทำให้ความสวยและทรัพยากรทางธรรมชาติเสียหายมหาศาลถือเป็นมาตรการใหม่ในการเที่ยวชมอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี แบบนิวนอร์มอลเราเดินตามกันไปบนสะพานไม้ที่ต่อเป็นทางเดินเชื่อมจากหลังอ่าวไปยังด้านหน้าของอ่าวมาหยา จุดที่ Leonardo Dicaprio ต่อสู้กับฉลาม และฉากรักโรแมนติกของ เดอะ บีช นั่นล่ะ บริเวณหน้าหาดอ่าวมาหยามีแค่คณะของเรา 8 คน กับสาวสวยชาวอิสราเอล 2 นางนั่งๆนอนๆอาบแดดแบบชิลๆ“ฉลามหูดำ” เสียงหนึ่งในคณะของเราตะโกนพวกเราพากันวิ่งไปตามเสียง และก็เห็นเจ้าฉลามหูดำตัวเล็กๆ 2 ตัว กำลังว่ายอวดโฉม เหมือนเป็นการโชว์ตัวบนแคตวอล์ก เพียงแค่เปลี่ยนเป็นในน้ำทะเลเท่านั้น และเมื่อมันว่ายมาจนสุดหาด บรรดาลูกฉลามตัวจิ๋วนับสิบๆตัวก็พากันกรูออกมาว่ายตามแม่ของมัน แบบเป็นระเบียบเรียบร้อยโรงเรียนฉลาม หลังจากชื่นชมความสวยงามของอ่าวมาหยาจนหายคิดถึง และเสียงนักท่องเที่ยวเริ่มระเบ็งเซ็งแซ่ พวกเราค่อยๆเดินกลับออกมาที่ อ่าวโล๊ะซามะ เพื่อลงเรือต่อไปยัง ปิเละ ลากูน (Pileh Lagoon) ซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำสุดฮิป น้ำทะเลสวยเป็นสีมรกต และยังเป็นแหล่งปะการัง ปลาหลากชนิด ทั้งปลาเสือ ปลานกแก้ว ปลานกขุนทอง ฯลฯคุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ หัวหน้าคณะของเรา บอกว่า เห็น ปิเละ ลากูน แล้วนึกถึง Gorge Du Verdon ที่ฝรั่งเศส ซึ่งตอนที่ไปดู กอร์ด ดู แวดอง ก็นึกว่าสวยสุดๆแล้ว ยังนึกขอบคุณคนฝรั่งเศสที่รักษาธรรมชาติสวยงามนี้ไว้ให้คนรุ่นหลัง แต่พอมาถึงที่นี่ ปิเละ ลากูน โอ้ว! สวยกว่าที่ฝรั่งเศสเสียอีก แต่ที่กังวลก็คือ ถ้าภาครัฐยังไม่มีมาตรการคุมเข้ม ปล่อยให้เรือติดใบพัดและเรือหางพานักท่องเที่ยวกรูกันเข้าไปชื่นชมความสวยงามของอ่าวปิเละจนแรงของใบพัดตีน้ำจนขุ่นและกระเพื่อมจนปลาเล็กปลาน้อยเป็นพันเป็นหมื่นตัวอยู่ไม่ได้ หรืออากาศเสียจากเครื่องเรือที่เข้ามาคราวละหลายสิบลำจะอ้อยอิ่งอยู่ในระหว่างซอกหินผาไม่หนีไปไหนง่ายๆ อาจจะไม่เหลืออะไรให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม แต่ก็ยังไม่ถึงกับหมดหวังเสียทีเดียว คุณหมอสันต์บอกว่า แต่ถ้ารัฐบาลไทยทำเหมือนรัฐบาลฝรั่งเศส คือให้เรือเครื่องทั้งหลายจอดอยู่นอกปากอ่าว ผูกแพขึ้นรองรับนักท่องเที่ยวที่ปากอ่าว ให้ลงลอยคอว่ายน้ำ หรือพายเรือแคนู เรือถีบ หรือเรือกอเละที่เอาเครื่องออกแล้วให้นายท้ายถือท้ายแบบพันท้ายนรสิงห์เข้ามา ส่วนฝีพายก็คือนักท่องเที่ยวนั่งคนละข้าง พายคนละอันจ้วงพายกันเข้าไป สนุกและได้ออกกำลังกายด้วย ใช้วิธีเคลื่อนไหวแบบความเร็วต่ำอย่างนี้ปลาข้างล่างก็จะไม่เดือดร้อนหนีหายไปไหน นักดำน้ำดูปะการังก็ไม่ต้องคอยหลบเรือ และอ่าวปิเละนี้ก็จะคงอยู่และเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วโลกได้อีกนานถือเป็นข้อเสนอแนะที่ควรแก่การรับฟัง จากพีพี... เรามุ่งหน้าสู่อีกเป้าหมายของทริปคราวนี้ นั่นก็คือ “สิมิลัน” สวรรค์ของนักดำน้ำจากทั่วโลกอีกแห่งหนึ่ง ที่มีเกาะเล็ก เกาะน้อย 9 เกาะ นั่งเรือ หลับๆ ตื่นๆ ประมาณชั่วโมงครึ่งเราก็มาถึงสิมิลัน สะบักสะบอมเล็กน้อยสำหรับ ส.ว. แต่พอเห็นความสวยงามของน้ำทะเลที่ใสเหมือนแก้วคริสตัล ไล่เรียงสีฟ้าอ่อน ฟ้าใส ไปจนถึงฟ้าเข้ม อาการเหนื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้งเขาเรือใบยังคงตั้งตระหง่านอยู่ที่เดิม แต่บอกเลยว่า มาคราวนี้สวยกว่าเดิมมาก ปีนี้อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันเปิดการท่องเที่ยว ระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2564-15 พฤษภาคม 2565 นี้เท่านั้น ไปชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติที่ฟื้นตัว ราวกับว่าเกาะสวรรค์ ได้เกิดใหม่อีกครั้ง.