ในที่สุดความกังวลของผู้เชี่ยวชาญที่คาดการณ์ว่า หากมีการใช้ยารักษา COVID-19 อย่างไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะยาต้านไวรัสที่ชื่อ “ฟาวิพิราเวียร์” (Favipiravir) เนื่องจากเป็นยาใหม่ที่อาจจะยังไม่มีข้อมูลการศึกษาทางวิชาการมากนัก ที่จะยืนยันการใช้ยากลุ่มนี้ในผู้ป่วยกลุ่มต่างๆล่าสุด ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ยาฟาวิพิราเวียร์อาจใช้ไม่ได้ผล ไม่ว่าจะเป็นการหยุดการแพร่ของไวรัส (viral clearance) หรือทำให้อาการดีขึ้นในคนติดเชื้อใหม่ๆ ข้อความดังกล่าว อ้างรายงานที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.2022 จากประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยศึกษาในคนที่ติดเชื้อโควิดระหว่างเดือนกรกฎาคม 2020-สิงหาคม 2021 ที่พบว่ามีความเป็นไปได้ที่เกิดการดื้อยาฟาวิพิราเวียร์ ทั้งที่เกิดจากการใช้ยาอย่างกว้างขวางหรือเกิดจากการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี ค.ศ.2020รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับการศึกษาของอาจารย์ในคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ที่ได้ข้อมูลตรงกันว่า การใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ในผู้ป่วยโควิด-19 เริ่มไม่ได้ผล ต่างจากในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020 ที่การใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ได้ผลดีในการต้านไวรัสและรักษาโควิด-19 คุณหมอธีระวัฒน์ ระบุว่า เชื้อโควิดมีการปรับรหัสพันธุกรรมที่แตกต่างจากเดิมไปมาก ทั้งก่อนและระหว่างการรักษา อาจเป็นข้ออธิบายได้ว่า เพราะเหตุใดยาฟาวิพิราเวียร์ถึงเริ่มมีการดื้อยามากขึ้น เช่นเดียวกับยาเรมเดซิเวียร์เริ่มได้ผลน้อยลงรายงานการศึกษาของประเทศซาอุดีอาระเบียระบุว่า ในช่วงแรกที่มีการระบาดของ COVID-19 ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีการตอบสนองต่อยาฟาวิพิราเวียร์เป็นอย่างดี มีเพียงส่วนน้อยที่พัฒนาไปสู่การเป็นโรคปอดบวมระดับรุนแรง แต่ในการระบาดระลอก 3 จนถึงปัจจุบัน การศึกษาเริ่มพบว่ามีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ประสิทธิภาพของการควบคุมโรคลดลงการดื้อยา รวมไปถึงการไม่สามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นได้ในส่วนของการศึกษาประสิทธิภาพของยาฟาวิพิราเวียร์มีข้อค้นพบที่น่าสนใจ โดยเฉพาะปริมาณไวรัสที่สูงขึ้นหลังจากใช้ยา Favipiravir เป็นเวลา 5 วัน โดยอาการของผู้ป่วยไม่ดีขึ้นในขณะที่ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ค่า CT ยังคงต่ำ และแพทย์เริ่มตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้เรมเดซิเวียร์ ซึ่งเป็นยาคล้ายไรโบนิวคลีโอไทด์ ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยปอดอักเสบจำนวนมากมีอาการดีขึ้น โดยมีค่า CT สูงขึ้นในการศึกษาครั้งนี้ยังพบการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 ระหว่างการรักษา ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะยังไม่สามารถระบุสาเหตุของการกลายพันธุ์ได้ แต่สมมติฐานหนึ่งคือ อาจเกิดจากการใช้ยาต้านไวรัสอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้ การศึกษาชิ้นนี้ได้ให้ข้อเสนอแนะว่า จำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ที่สำคัญอย่างเป็นระบบทั่วโลกอย่างต่อเนื่องเพื่อศึกษาพฤติกรรมไวรัสและรวบรวมข้อมูลทางระบาดวิทยาให้สามารถนำมาวางแผนในการควบคุมและรักษาโควิดได้ดีขึ้น เรื่องการดื้อยาของฟาวิพิราเวียร์ จริงๆแล้วมีการนำเสนอประเด็นดังกล่าวมาตั้งแต่ช่วงเดือน ก.พ.2565 ที่ผ่านมา โดย รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิกรมการแพทย์ ออกมาระบุว่า การใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ถึงเดือนละ 60 ล้านเม็ด โดยไม่จำเป็น อาจส่งผลให้เกิดเชื้อดื้อยาและผลข้างเคียงได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยประมาณ 90% ที่ไม่มีอาการจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ชนิดโอมิครอน โดยกลุ่มที่ไม่มีอาการได้มีการออกระเบียบวิธีการรักษาใหม่คือ จะไม่ให้ยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์ แต่อาจจะพิจารณาให้ฟ้าทะลายโจรตามดุลพินิจแพทย์ เพราะจากสถิติพบว่า ในช่วงการระบาดของโอมิครอน โอกาสที่กลุ่มอาการสีเขียวรักษาที่บ้านแล้วอาการจะเปลี่ยนแปลงมากขึ้นจนอยู่ในระดับสีเหลืองหรือสีแดงนั้นน้อยมาก จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ และส่วนมากอาการจะค่อยๆหายเองคุณหมอทวียังบอกด้วยว่า กลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมีความกังวลเรื่องของเชื้อดื้อยาค่อนข้างมาก เพราะตามทฤษฎี ถ้าเชื้อสัมผัสกับยาบ่อยๆ ก็จะเกิดการดื้อยาได้ และถ้ามีการดื้อยาเกิดขึ้นจริงๆ การกินยาก็ไม่มีประโยชน์ หากไม่มีอาการก็ไม่จำเป็นต้องได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ เพราะหากเกิดเชื้อดื้อยาในระยะยาวจะเป็นปัญหาใหญ่มากกว่าการไม่ได้รับยาเมื่อตรวจพบการติดเชื้อ.