ณ ห้วงเวลาที่หัวหน้าทีมซอกแซกนั่งเขียนต้นฉบับวันนี้ การประกาศภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลเพื่อสู้กับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “โควิด-19” ย่างเข้าสู่วันที่สองแล้ว หลังจากที่สถานการณ์เลวร้ายลงติดต่อกันหลายวันก่อนหน้านี้ยอดผู้ติดเชื้อของเราสะสมอยู่ที่ 1,136 ราย เพิ่มขึ้นอีก 91 ราย เสียชีวิตทั้งสิ้น 5 ราย ติดเชื้อเป็นอันดับ 32 ของโลก และมีการพยากรณ์เอาไว้ ว่าหากประเทศไทยไม่มีการดำเนินการที่จะทำให้คนแปลงเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างใหญ่หลวง และยัง ปล่อยให้ดำเนินไปตามใจชอบ อาจมีผู้ป่วยสูงถึง 3 แสนราย เข้าโรงพยาบาลนับหมื่นราย ณ วันที่ 15 เมษายน ไม่มีโรงพยาบาลและเตียงคนไข้รองรับ อย่างแน่นอนซึ่งบัดนี้รัฐบาลก็ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินแล้วมีการกำหนดข้อควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติอย่างเข้มงวด อันเป็นที่หวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดีขึ้น และไม่เป็นไปตามความคาดหมายดังกล่าวแต่ไม่ว่าตัวเลขในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร กระทรวงสาธารณสุข ก็เตรียมพร้อมแล้วที่จะต่อสู้ โดยระดมสรรพกำลังทั้งหมดทั้งมวลทางการแพทย์ที่เรามีอยู่ เพื่อสู้ศึก “โควิด-19” อย่างเต็มที่แน่นอน หนึ่งในหน่วยหน้าที่จะสู้โควิด-19 ครั้งนี้ย่อมมีชื่อของ สถาบันบำราศนราดูร ในสังกัด กรมควบคุมโรค รวมอยู่ด้วยกล่าวไปแล้ว สถาบันบำราศนราดูร ถือเป็น โรงพยาบาลแห่งแรกๆที่รับศึกโควิด-19 ตั้งแต่ยังเรียกกันว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่จากเมืองอู่ฮั่นด้วยซํ้า ในฐานะที่เป็นโรงพยาบาลของกรมควบคุม โรคที่เป็นแม่ทัพหลักในการต่อสู้กับไวรัสมหาภัยสายพันธุ์นี้โดยตรงดังนั้น วันนี้ทีมงานซอกแซกจึงขออนุญาตนำท่านผู้อ่านไปรู้จักกับสถาบันแห่งนี้ในแง่มุมต่างๆมากขึ้น ทั้งในแง่ความรู้ ความสามารถทางด้านการต่อสู้กับโรคติดต่อ และในแง่ของประวัติความเป็นมาที่เกี่ยวพันกับบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้พิชิตโรคติดต่อมาอย่างชํ่าชองคนหนึ่งของราชอาณาจักรไทยมาเริ่มกันที่ประวัติความเป็นมาเสียก่อนว่าโรงพยาบาล หรือสถาบันแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้น ในยุคสมัยใด และมีจุดเริ่มต้นขึ้นอย่างไร?คงต้องย้อนหลังกลับไปเมื่อพุทธศักราช 2502 ในยุคที่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองจาก จอมพล ป. พิบูลสงคราม และหลังจากให้ จอมพลถนอม กิติขจร มือขวาของท่านขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพได้ปีเศษ จอมพลสฤษดิ์ก็ตัดสินใจมาเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยตนเอง ว่ากันว่าจอมพลสฤษดิ์ชื่นชมอดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุขท่านหนึ่งที่ชื่อ พระบำราศนราดูร และได้ขอร้องให้มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในยุคของท่าน โดยมิได้รู้จักใกล้ชิดมาก่อนเลยซึ่งก็พอดีประเทศไทยเกิดโรคอหิวาต์ระบาด ค่อนข้างรุนแรง นำความหวาดหวั่นและวิตกมาสู่ ประชาชนชาวไทยเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความเข้มแข็งรู้งานสาธารณสุขจริงของรัฐมนตรีท่านนี้ ในที่สุดรัฐบาลสฤษดิ์สามารถปราบอหิวาต์ลงได้จอมพลสฤษดิ์ชื่นชมมากและเห็นว่าโรงพยาบาลรักษาคนไข้โรคติดต่อซึ่งยุคนั้นเป็นพระเอกในการรับคนไข้อหิวาต์ที่ตั้งอยู่แถวๆดินแดงค่อนข้างเสื่อมโทรมไม่สมกับที่จะเป็นโรงพยาบาลโรคติดต่อ ต่อไปจึงให้งบประมาณไปสร้างใหม่ที่นนทบุรี ในพื้นที่ส่วนหนึ่งของ โรงพยาบาลศรีธัญญา พร้อมกับให้ชื่อโรงพยาบาลแห่งนี้ว่า โรงพยาบาลบำราศนราดูร ตามชื่อของผู้ปราบอหิวาต์สำเร็จรวมทั้งท่านจอมพลยังได้เดินทางไปเปิดโรงพยาบาลด้วยตนเองเมื่อปลายปี 2503พระบำราศนราดูร ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสาธารณสุขในยุคจอมพลสฤษดิ์ ต่อเนื่องมาจนถึงยุคจอมพลถนอม และพ้นจากตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2512 พร้อมกับสร้างผลงานด้านสาธารณสุขเอาไว้ มากมาย อาทิ โครงการควบคุมวัณโรค โครงการกวาดล้างไข้มาลาเรีย โครงการรักษาไข้เลือดออก การก่อตั้งสถาบันมะเร็งแห่งชาติ และการส่งเสริมพัฒนาอนามัยประชาชนในชนบท ฯลฯท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี พ.ศ.2527 สิริ อายุ 88 ปี ปิดตำนานอันยิ่งใหญ่ของนักเรียนแพทย์ จากโรงเรียนราชแพทยาลัย กระทรวงธรรมการ ซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์แห่งแรกของประเทศแม้จะไม่เคยไปเรียนต่างประเทศเลย แต่ ท่านก็รับราชการในกรมสาธารณสุข ซึ่งต่อมายกฐานะเป็นกระทรวงสาธารณสุขด้วยความรู้ ความสามารถอันยอดเยี่ยม จนได้เป็นปลัดกระทรวง เมื่อปี พ.ศ.2497 อยู่ในตำแหน่งจนเกษียณ อายุปี 2499 แล้วยังได้ต่ออายุราชการจนถึงปี 2501ซึ่งตลอดเวลาที่รับราชการงานที่สร้างชื่อเสียง ให้แก่ท่านมาตลอดก็คือ การปราบโรค อหิวาต์ระบาด นั่นเองนี่คือที่มาของชื่อ สถาบันบำราศนราดูร (ยกฐานะจากโรงพยาบาลบำราศนราดูร เมื่อ พ.ศ. 2545) หนึ่งในทัพหน้าต่อสู้โควิด-19 โรคระบาดของยุคใหม่นับเป็นชื่อที่มีความหมายอย่างยิ่ง เพราะ พระบำราศนราดูร คือมือปราบโรคระบาดร้ายแรง (อหิวาต์) คนสำคัญของประเทศไทยแม้ว่าภารกิจหลักของสถาบันบำราศนราดูรในสังกัดกรมควบคุมโรคในปัจจุบันจะเน้นไปที่การวิเคราะห์วิจัยพัฒนาป้องกันควบคุม ตรวจวินิจฉัย และรักษาโรค เอดส์ จนได้ชื่อว่าเป็นสถาบันที่มี ความรู้ความสามารถโรคนี้อย่างดีเยี่ยม แต่ก็มีภารกิจหลักอีกภารกิจหนึ่ง นั่นก็คือ ภารกิจที่จะดูแล “โรคที่เป็นปัญหาสำคัญ” ของประเทศควบคู่ไปด้วยบุคลากรของสถาบันนี้จึงมีความรู้เกี่ยวกับ โรคติดต่อ หรือโรคระบาดที่เป็นปัญหาสำคัญทุกโรค และสามารถนำมาปรับใช้กับการรักษาและ ป้องกันโรคใหม่ๆได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งโรค ระบาดโควิด-19 ในครั้งนี้ทีมงานซอกแซกขอให้กำลังใจและขอบ พระคุณสถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค และ กระทรวงสาธารณสุขทั้งกระทรวงตลอดจนคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ โรงพยาบาลต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชน รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกระดับที่กำลังผนึกกำลังกันต่อสู้ไวรัสมหาภัยอย่างเสียสละด้วยความเหนื่อยยากและตรากตรำยิ่ง ทั่วประเทศไทยในขณะนี้สู้สู้นะครับพี่น้องนักรบเสื้อขาวและเสื้อเขียว (ชุดผ่าตัด) ผู้กล้าของพวกเรา.“ซูม”