11.6 ล้านคน คือตัวเลขผู้ป่วยไตเรื้อรังในประเทศไทย ในจำนวนนี้มีมากกว่า 1 แสนคนที่ต้องล้างไตจากรายงานของ The United States Renal Data System (USRDS) พบว่า ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีอัตราการเกิดโรคไตสูงที่สุดวันก่อนได้มีโอกาสไปร่วมเป็นเกียรติในการบริจาคเครื่องฟอกไต ให้กับ รพ.สมเด็จ พระบรมราชินีนาถนาทวี จ.สงขลา ของ คุณกิตติธัช ธนะรัชต์ ผ่านทางสถานีเฟซบุ๊ก ไลฟ์ สื่ออาสาประชาชน ซึ่งสนับสนุนโดย กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ทำให้เห็นว่า โรคไต เป็นปัญหาสภาวะสุขภาพที่กำลังคุกคามคนไทยที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยแบบก้าวกระโดด จาก 8 ล้านคนในปี 63 เพิ่มเป็น 11.6 ล้านคนในปี 65 และจำนวนผู้ที่ล้างไตเพิ่มจาก 80,000 คน เป็น 1 แสนคนสาเหตุสำคัญที่ทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคไตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมการบริโภค โดยพบว่า คนไทยบริโภคโซเดียมมากถึง 3,635 มิลลิกรัมต่อวันหรือเทียบเท่า เกลือประมาณ 2 ช้อนชา สูงกว่าปริมาณที่ควรจะเป็นหรือที่ไม่ทำร้ายสุขภาพร่างกายถึง 2 เท่าหลายคนอาจสงสัยว่า คนไทยกินเกลือมากขนาดนี้จากอะไร...คำตอบคือ 90% ของโซเดียมที่ร่างกายได้รับ มาจากเครื่องปรุงรสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำปลา ซีอิ๊วขาว ซุปก้อน เกลือ กะปิ และผงชูรส รวมถึงอาหารสำเร็จรูปต่างๆ ซึ่งแน่นอน อาหาร 1 จาน เราไม่ได้ใส่เครื่องปรุงเพียงอย่างเดียว จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงได้รับโซเดียมมากเกินกว่าปกติและเพราะสถานการณ์ของโรคไตเรื้อรังในประชากรไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ การหาแนวทางป้องกันไม่ให้มีจำนวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเพิ่มขึ้นหรือผู้ป่วยไตเรื้อรังที่เป็นแล้ว ไม่ให้กลายเป็นไตวายเรื้อรังเร็ว จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเมื่อโรคไตเรื้อรังเข้าสู่ระยะสุดท้าย การรักษาด้วยยาจะไม่สามารถควบคุมอาการของโรคได้ ผู้ป่วยจะต้องได้รับการบำบัดทดแทนไต ซึ่งมีอยู่ 3 วิธี คือ การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม, การล้างไตทางช่องท้อง และการปลูกถ่ายไตจากการศึกษาวิจัยความชุกของโรคไตเรื้อรังในประเทศไทยพบโรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-5 มีความชุกรวมทั้งหมดประมาณ 17.5% ของประชากร เมื่อเทียบกับความชุกโรคไตเรื้อรังประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศในแถบยุโรปแล้ว ประเทศไทยมีอัตราความชุกโรคไตเรื้อรังที่สูงกว่ามาก ในต่างประเทศอัตราความชุกของโรคไตอยู่ที่ประมาณ 11-13%สำหรับผู้ป่วยที่เข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้าย ผลกระทบที่มากที่สุดคือ ผู้ป่วยที่เป็นไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ต้องทำการฟอกเลือด หรือล้างไตทางช่องท้อง ผลกระทบต่อตัวผู้ป่วยนอกจากจะมีภาวะสุขภาพแย่ลงและเทียบกับก่อนเจ็บป่วยจะไม่เหมือนเดิม กระทบต่อความสามารถในการทำงานหรือประกอบอาชีพ อาจมีรายได้ลดลงหรืออาจจะต้องลาออกจากงานที่ทำ คุณภาพชีวิตแย่ลงแม้ว่าวิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือการปลูกถ่ายไต เพราะผู้ป่วยไม่ต้องมาฟอกเลือด หรือล้างไตทางช่องท้อง มีคุณภาพชีวิตที่ดีใกล้เคียงกับคนปกติ แต่มีข้อจำกัดที่จำนวนการปลูกถ่ายไตในแต่ละปีสามารถทำได้ประมาณ 600-700 ราย เท่านั้นซึ่งขึ้นอยู่กับสมรรถนะของสถาบันที่มีจำนวนไม่มากในประเทศไทยและจำนวนไตบริจาคในแต่ละปีด้วยผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคไตเรื้อรังมากที่สุด คือผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน โดยพบว่า เบาหวานเป็นสาเหตุของการเป็นโรคไต มากถึง 30-40% ของผู้ป่วยไตเรื้อรังทั้งหมด ตามด้วย ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตอักเสบ หรือโรคแพ้ภูมิตนเอง เช่น กลุ่มโรค SLE ผู้ที่ได้รับยาหรือสารที่เป็นพิษต่อไต เช่น ยาแก้ปวดกลุ่มเอนเสด ยาสมุนไพรบางชนิด ยาปฏิชีวนะบางชนิด เป็นนิ่วในไตหรือในระบบทางเดินปัสสาวะ โรคถุงน้ำในไต โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนบนซ้ำหลายครั้ง มีมวลไตน้อยหรือลดลง หรือมีไตข้างเดียว ผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป มีประวัติโรคไตเรื้อรังในครอบครัว ผู้ที่มีภาวะอ้วน หรือโรคอ้วน และผู้ที่สูบบุหรี่ ฯลฯทางออกของปัญหาที่ดีที่สุด คือการสื่อสารเพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในการลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคไต การรณรงค์ให้ลดอาหารเค็มจัด หวานจัด อาหารสำเร็จรูป เนื้อสัตว์แปรรูป และหันมารับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้นในกลุ่มของผู้ป่วยเบาหวาน ต้องควบคุมอาหาร ดูแลตนเองและพยายามควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับคงที่เพื่อไม่ให้พัฒนากลายเป็นโรคไตเพิ่มขึ้นที่สำคัญ คือทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ดื่มสุรา สูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และไม่เครียด จะช่วยลดความเสี่ยงจากการป่วยไม่เฉพาะแค่โรคไตแต่รวมถึงโรคไม่ติดต่ออื่นๆ ด้วย.