เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ผมเขียนถึง “โรงเรียนกำเนิดวิทย์” โรงเรียนนามพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่กลุ่ม ปตท.และมูลนิธิโรงเรียนวิทยาศาสตร์ระยองจัดตั้งขึ้นที่อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยองเล่าถึงบรรยากาศของตัวโรงเรียน ห้องเรียน ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ และจากการสนทนากับท่านประธานบริหารโรงเรียน ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร พร้อมด้วยท่านผู้อำนวยการ ดร.ธงชัย ชิวปรีชา ทำให้ได้บทสรุปว่า อนาคตของประเทศไทยที่จะก้าวเดินไปสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 แม้จะยังยากอยู่แต่ก็ไม่ถึงกับสิ้นหวังเพราะยังมีผู้ที่เล็งเห็นถึงความจำเป็นของการที่จะต้องสร้างนักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์คิดค้น และนักนวัตกรรม ด้วยการก่อตั้ง “โรงเรียนพิเศษ” ขึ้นมาสำหรับสอน “เด็กพิเศษ” ของเราจำนวนหนึ่งไม่เฉพาะแต่ “โรงเรียนกำเนิดวิทย์” ที่ผมเพิ่งมีโอกาสไปทัศนศึกษาและพูดคุยกับผู้บริหารระดับสูงหลายๆท่านเท่านั้น แท้ที่จริงแล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่ของประเทศไทยเราได้ตระหนักในประเด็นปัญหานี้มาหลายปีแล้ว พร้อมทั้งได้ดำเนินการแก้ไขมาโดยตลอดย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ.2533 ศ.ดร.ณัฐ ภมรประวัติ อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ใน พ.ศ.ดังกล่าว ซึ่งตระหนักถึงการขาดแคลนบุคลากรทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงคิดอ่านหาทางผลิตบุคลากรในสาขานี้เพื่อป้อนให้แก่ประเทศ ตั้งแต่ระดับโรงเรียนจนถึงมหาวิทยาลัยท่านได้หารือกับ ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ อธิบดีกรมสามัญศึกษาในขณะนั้น และได้ลงนามในข้อตกลงจัดตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาที่เน้นการสอนด้านวิทยาศาสตร์เป็นการเฉพาะขึ้นเป็นแห่งแรกเมื่อ พ.ศ.2534ได้แก่ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ที่เรารู้จักเป็นอย่างดีแล้วนั่นเองจนกระทั่งในปี 2542 ในยุคที่คุณ ชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี และมีคุณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ได้ผลักดันให้ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เป็นองค์กรมหาชนพร้อมกับได้ ดร.ธงชัย ชิวปรีชา (ผู้อำนวยการโรงเรียนกำเนิดวิทย์ปัจจุบันนี่แหละ) ไปดำรงตำแหน่ง ผอ.โรงเรียนมหิดลฯ ในยุคองค์การมหาชนเป็นท่านแรกในขณะเดียวกัน หลังจากริเริ่มตั้งโรงเรียนมหิดลฯ กับมหาวิทยาลัยมหิดลแล้ว กระทรวงศึกษาธิการก็ได้มีการก่อตั้งโรงเรียนที่เน้นการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ที่เรียกว่ากลุ่มโรงเรียน จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ขึ้นอีก 12 แห่ง ใน 12 จังหวัด เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเจริญ พระชนมายุ 36 พรรษา เมื่อ พ.ศ.2536ต่อมาในปี 2551 ความสำเร็จในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ก็กลายเป็นต้นแบบของการขยาย “ห้องเรียนวิทยาศาสตร์” ไปสู่ โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ทั้ง 12 แห่ง และจัดตั้งโครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ให้แก่โรงเรียนที่อยู่ในการดูแลของมหาวิทยาลัยต่างๆอีก 5 แห่งรวมทั้งมีแผนการที่จะเข้าไปช่วยจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ให้แก่โรงเรียนในสังกัดของ สพฐ. อีกประมาณ 200 แห่ง ในห้วงเวลาเดียวกันล่าสุด ก็มีโรงเรียนกำเนิดวิทย์ในเครือ ปตท.ที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้มาเป็นพลังเสริมอีกโรงเรียนหนึ่ง โดยได้ ดร.ธงชัย ชิวปรีชา ที่มี ประสบการณ์จากโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ มาเป็นผู้อำนวยการจากผลการวิจัยอันเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป พบว่า ในจำนวนเด็กที่เข้าสู่ระบบการศึกษาในแต่ละปีจะมี “เด็กพิเศษ” สมองดีที่เรียนเก่งทางด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์อยู่ประมาณร้อยละ 5 โดยเฉลี่ยเด็กเหล่านี้เหมือนมีพรสวรรค์อยู่ในตัว สามารถจะคิดเลขได้เร็ว และเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ได้ดีกว่าเด็กอื่นๆสำหรับประเทศไทยเรานั้น ประมาณการกันว่าในจำนวนเด็กๆที่เข้าสู่ระบบการศึกษาแต่ละปีจะมีอยู่ประมาณ 30,000-35,000 คน ที่มีความสามารถพิเศษดังกล่าวนี้โรงเรียนด้านวิทยาศาสตร์ทั้งหลายที่ตั้งขึ้นก็เพื่อจะช่วยให้เด็กที่มีความสามารถพิเศษของเราพัฒนาไปได้อย่างเต็มศักยภาพหากทุกแห่งรวมกันแล้วสามารถดูแลรับผิดชอบได้ตั้งแต่ปีละ 5,000 คน ถึง 8,000 คน ก็จะช่วยประเทศชาติได้อย่างมหาศาลมันอาจจะยังไม่พอเพียงกับความต้องการของประเทศไทย ที่จะก้าวเดินต่อไปในอนาคต แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าเรามิได้ทำอะไรเพื่อการนี้กันมาเสียเลยแล้วกัน...เนื้อที่หมดซะอีกแล้ว ผมขออนุญาตคุยต่อในวันพรุ่งนี้นะครับ.“ซูม”