ตอนที่ 42
ตอนที่ 42 ระเบิดอารมณ์
ทันทีที่ก้าวออกจากประตูมหาวิทยาลัยจินใบหน้าของอู่เจิ้งซือก็ถมึงทึง เขาปรายตามองด้านหลังอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง อู่เหมยก้มหน้าเดินไม่กล้าเปล่งเสียงเพราะกลัวจะทำให้อู่เจิ้งซือโกรธ
ใบหน้าของเหอปี้อวิ๋นดูอึมครึมยิ่งกว่าเมฆฝน เมื่อกี้ที่อยู่บ้านพ่อแม่สามีให้ตี๋ชิวเยวี่ยกับอู่เจิ้งหงกระแนะกระแหนทั้งต่อหน้าและลับหลังอยู่หลายครั้ง ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้าบ้านี่ รวมถึงคดีที่ติดค้างไว้ตั้งแต่บ้านอาจารย์แม่หยาง กลับไปดูสิว่าเธอจะจัดการยายนี่ได้อย่างไร
อู่เยวี่ยไม่เอ่ยอะไรเช่นกัน วันนี้เธอได้รับความไม่พอใจมากกว่าสิบสี่ปีที่ผ่านมารวมกันเสียอีก เป็นเพราะอู่เหมย เจ้าโง่นี่ทำให้คุณพ่อคุณแม่โกรธ เดี๋ยวต้องถูกจัดการอย่างหนักแน่นอน เชอะ!
ค่ำคืนของต้นฤดูหนาวค่อนข้างเย็น พอลมกลางคืนพัดผ่านมาเรียกให้อู่เหมยสะท้านเฮือกไปทั้งตัว เผลอยกแขนโอบตัวเองไว้อยากให้อุ่นขึ้นเล็กน้อย ทุกย่างก้าวเหมือนมีของหนักมาถ่วงแต่ก็ต้องเดินหน้าต่อไป
เธอไม่เสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำไปวันนี้เลยสักนิด ต่อให้ต้องโดนตีก็ไม่เป็นไร เธอไม่อยากใช้ชีวิตเป็นคนโง่ในสายตาคนอื่นอีก ถึงจะรู้ว่าการขัดขืนมันเปล่าประโยชน์แต่เธอจะขอลองสักตั้ง
ทั้งครอบครัวที่ต่างมีเรื่องคิดในใจเดินกลับถึงบ้าน เหอปี้อวิ๋นเปิดประตูรอทุกคนเข้าบ้านเสร็จก็ปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว หยิบไม้ขนไก่ขึ้นฟาดไปที่อู่เหมย
“ตีให้ตายเลยเจ้าลูกทรพี หมาที่เลี้ยงไว้ยังรู้จักส่ายหาง แต่แกกล้าแต่งเรื่องใส่ร้ายฉันกับพี่สาวของแกให้คนนอกอย่างนั้นเหรอ? ฉันไม่ให้แกกินข้าวหรือไม่ให้เสื้อผ้าแกใส่เหรอ หา?”
เหอปี้อวิ๋นเดือดดาลจึงใช้เรี่ยวแรงที่หนักกว่าปกติหลายเท่าตัว อู่เหมยไม่คิดหลบหนีได้แต่ใช้สองมือป้องหัวให้เหอปี้อวิ๋นฟาดตามอำเภอใจ เธอได้เตรียมใจกับการถูกทำโทษตั้งแต่ที่คิดจะกล่าวคำพูดเหล่านั้นออกจากปากแล้ว
แต่เธอไม่คิดว่าเหอปี้อวิ๋นจะลงมือหนักขนาดนี้ รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวทุกครั้งยามที่ไม้ฟาดลงบนตัว อู่เหมยอดยิ้มขมขื่นไม่ได้ ดูเหมือนว่าเธอต้องขอบคุณเหอปี้อวิ๋นด้วยซ้ำที่เมื่อก่อนยังมีการยั้งมือบ้าง!
“แม่ตีหนูให้ตายไปเลย แม่สาปแช่งให้หนูตายอยู่ทุกวันไม่ใช่หรือไงคะ? แม่ไม่ต้องใช้หรอกไม้ขนไก่ เอามีดมาปาดคอหนูให้ตายไปเลย!”
เพราะทนเจ็บไม่ไหวอีกต่อไปอู่เหมยเลยยื่นคอเถียงกลับไป ท่ามกลางคืนที่เงียบสงัดนั้นยิ่งขับให้เสียงนี้ดังเสียดหูกว่าปกติ อู่เจิ้งซือที่เดิมทีมองทุกอย่างด้วยสายตาเย็นชากลับเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย ยื่นมือแย่งไม้ขนไก่จากเหอปี้อวิ๋นมา
“พอแล้ว ปี้อวิ๋นกับเยวี่ยเยวี่ยไปล้างหน้านอนซะไป”
เหอปี้อวิ๋นถลึงตาใส่อู่เหมยแรงๆ แวบหนึ่ง จำต้องไปหยิบกาต้มน้ำเดินเข้าห้องน้ำ อู่เยวี่ยเองก็ผิดหวังอย่างมาก นี่เพิ่งตีไปได้ครู่เดียวเอง
อู่เหมยเจ็บจนยืนแทบไม่ไหว เธอใช้สองมือกอดอกทรุดนั่งกับพื้นปล่อยให้น้ำตาไหลทะลักออกมา ทุกคนต่างก็บอกสงสารเด็กกำพร้าที่ไร้พ่อไร้แม่ แต่เธอที่มีพ่อมีแม่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเด็กกำพร้าตรงไหนเลย
ในเมื่อเกลียดเธอขนาดนี้ ทำไมต้องคลอดเธอออกมาด้วย?
“เหมยเหมย วันนี้ลูกเป็นอะไร? ใส่ร้ายแม่กับพี่สาว กล้าเอาความตายมาขู่คุณแม่ ไปร่ำเรียนวิธีอกตัญญูแบบนี้มาจากไหน? ปกติพ่อสอนลูกแบบนี้เหรอ?”
อู่เจิ้งซือกล่าวเสียงแข็งกร้าว มองอู่เหมยบนพื้นด้วยสายตาผิดหวังและเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดของเธอ
อู่เหมยหยัดตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบากพลางรู้สึกหน้ามืดเล็กน้อยก่อนที่จะค่อยๆ กลับมาเห็นทุกอย่างชัดเหมือนเดิม แค่นหัวเราะตอบกลับ “หนูแค่พูดความจริงเท่านั้นเอง คุณพ่อสอนหนูตลอดไม่ใช่หรือคะว่าอย่าโกหก? หรือว่าคุณพ่ออยากให้หนูพูดหลอกลวงไปว่าคุณแม่ทำดีกับหนู? อู่เยวี่ยทำดีกับหนู?”
อู่เจิ้งซือโกรธจนตวัดฝ่ามือขึ้นแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ฟาดลงไป เขาพูดเสียงเคียดแค้น “คุณแม่กับพี่สาวทำไม่ดีต่อลูกตรงไหน? มิน่าคุณแม่ถึงบอกว่าเป็นลูกทรพี พ่อว่าลูกก็คือลูกเนรคุณที่ไม่รู้ซึ้งในบุญคุณ!”