ตอนที่ 29
ตอนที่ 29 ปิดไม่ได้อีกต่อไป
คุณย่าหยางเลิกเสื้อกล้ามตัวน้อยของอู่เหมยขึ้นก่อนพบรอยแผลเช่นเดียวกัน ครึ่งท่อนบนแทบไม่มีที่ว่างเหลือแล้วด้วยซ้ำ ไฟโทสะพุ่งพรวดขึ้นมา คุณย่าหยางมองสาวน้อยอย่างนึกสงสารจับใจ
รอยแผลเป็นรอยยาว แค่เห็นก็รู้ทันทีว่ามาจากไม้เรียว จะเป็นแผลจากการล้มได้อย่างไร?
เธอไม่คิดเลยว่าเหอปี้อวิ๋นจะกล้าพูดโกหกต่อหน้าคนแก่อย่างเธอ ช่างรู้หน้าไม่รู้ใจเลยจริงๆ ใครจะรู้ล่ะว่าเหอปี้อวิ๋นที่ชื่อเสียงเรียงนามดีมาตลอดเบื้องหลังนั้นกลับมีนิสัยโหดเหี้ยมขนาดนี้
“เหมยเหมยบอกคุณย่ามาว่านี่ใช่แผลจากการล้มมั้ย?” คุณย่าหยางถามเสียงเบา
อู่เหมยตัวสั่นระริก แสร้งมองไปยังประตูอย่างนึกหวั่นใจ เม้มปากคล้ายจะพูดแต่ก็ไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาแต่น้อย
“ไม่ต้องกลัว ที่นี่ไม่มีใครได้ยินหรอก” คุณย่าหยางปลอบเธอ ยิ่งนึกสงสารอู่เหมยมากกว่าเดิม เด็กน่าสงสาร ตกใจกลัวขนาดนี้แล้วเชียว
อู่เหมยแสดงละครจนหนำใจแล้วถึงส่ายหัวน้อยๆ ตอบกลับเสียงแผ่ว “ไม่ได้ล้มค่ะ หนูสอบได้คะแนนไม่ดี คุณแม่โกรธก็เลยเอาไม้ขนไก่ตีหนู”
“คุณแม่ไม่ให้หนูบอกคนอื่น คุณย่าหยางคะ คุณย่าอย่าบอกคนอื่นนะ คุณแม่จะโกรธเอาได้”
อู่เหมยน้ำตารื้นอีกครั้ง มองท่านผู้เฒ่าหยางด้วยท่าทางน่าสงสารจนคนมองนึกเห็นใจ
“วางใจได้ คุณย่าไม่บอกคนอื่นหรอก มา คุณย่าทายาให้นะ”
เสียงของคุณย่าหยางอ่อนโยนจนคนฟังเริ่มผ่อนคลายลง อู่เหมยนั่งหันหน้าเข้าพนักเก้าอี้ให้เธอทายาดีๆ คุณย่าทายาอย่างเบามือมาก ยาเย็นเฉียบสัมผัสลงบนผิวให้ความรู้สึกสบาย สีหน้าที่ตึงเครียดของอู่เหมยคลายลงกระทั่งเผลอหลับไป
สาวน้อยในสภาพหลับสนิทยังยู่ปากเล็ก หางตามีหยดน้ำตาติดอยู่ แค่มองก็รู้สึกถึงความน่าสงสาร เรียกให้คนมองนึกสงสารจากก้นบึ้งของหัวใจ คุณย่าหยางยิ่งเบามือลงและไม่ปลุกอู่เหมยแต่อย่างใด
เดี๋ยวต้องว่าเหอปี้อวิ๋นสักหน่อย แล้วก็อู่เจิ้งซือ เด็กเรียนไม่ดีต้องสอนด้วยความอดทน จะลงไม้ลงมือโหดเหี้ยมแบบนี้ได้อย่างไร?
อีกอย่างยังมีหนทางอื่นอีกมาก ล้วนแต่เป็นดาวเด่นได้ หนทางชีวิตไม่ได้มีแค่การเรียนเพียงอย่างเดียว ถ้าเด็กไม่ชอบเรียนจริงๆ ก็ช่างสิ พระเจ้าไม่ใจร้ายขนาดให้ใครหิวตาย เด็กโตมาต้องหาทางเลี้ยงตัวเองได้อยู่แล้ว จะกังวลไปทำไมกัน?
ทายาเสร็จอู่เหมยยังไม่ตื่น คุณย่าหยางสวมเสื้อให้เธอเสร็จสรรพเลยออกไปเรียกอู่เจิ้งซือเข้ามาอุ้มเด็ก อู่เจิ้งซือไม่ค่อยกล้าสู้หน้าเท่าไรแต่ยังถามต่อ “อาจารย์แม่หยาง เหมยเหมยไม่ได้อาการรุนแรงมากใช่มั้ยครับ?”
คุณย่าหยางใช้ดวงตาใสมองอู่เจิ้งซือนิ่ง ขณะที่อู่เจิ้งซือใกล้ทนไม่ไหวในที่สุดคุณย่าหยางก็เอ่ยปากพูด “ไม่รุนแรงได้ยังไง? ทั้งตัวแทบไม่มีที่ว่างเลย พื้นของบ้านเธอแข็งยิ่งกว่าเหล็กอีกนะ!”
ใบหน้าใสสะอาดของอู่เจิ้งซือขึ้นสีเล็กน้อย ยิ้มกล่าวเกร็งๆ “เตียงอาจจะสูงไปหน่อย เดี๋ยวกลับไปทำรั้วรอบเตียงให้เหมยเหมย”
คุณย่าหยางแค่นเสียงที พูดแฝงความนัย “เสี่ยวอู่ เลี้ยงลูกต้องมีความอดทน เธอเป็นครูประจำชั้นหนึ่งห้องได้ก็ต้องยิ่งมีความอดทนในการเลี้ยงดูลูก สุนัขยังไม่รังเกียจลูกตัวเองเลย เธอว่าอย่างนั้นมั้ยล่ะ?”
อู่เจิ้งซือยิ้มฝืดๆ แค่ฟังดูก็รู้ว่าคุณย่าหยางรู้ความจริงเข้าแล้ว นั่นสินะ แผลโจ่งแจ้งขนาดนั้นจะรอดสายตาเฉียบขาดของอาจารย์แม่หยางไปได้อย่างไร?
“ผมเข้าใจแล้ว จะปรับปรุงตัวครับ” อู่เจิ้งซือได้แต่รับปากว่าจะระวังด้วยท่าทางจริงใจ
คุณย่าหยางไม่ได้มีอคติต่ออู่เจิ้งซือมากนักเพราะผู้ชายทำงานนอกบ้านผู้หญิงดูแลในบ้าน บางทีอู่เจิ้งซืออาจไม่รู้เรื่องที่อู่เหมยโดนตี คู่กรณีที่แท้จริงคือเหอปี้อวิ๋นต่างหาก
“เสี่ยวเหอก็เหมือนกัน มีอะไรก็คุยดีๆ กับลูก ใจร้อนทำไม? บ้านฉันน่ะไม่มีเด็กผู้หญิง ถ้ามีหลานสาวน่ารักเหมือนเหมยเหมย ฉันไม่กล้าทำร้ายแม้แต่ปลายนิ้วก้อยด้วยซ้ำ!”