ตอนที่ 113
ตอนที่ 113 เก็บจากกองขยะหรือเปล่า
อู่เจิ้งซือมองเหอปี้อวิ๋นเป็นเชิงตักเตือน เขายิ้มและพูดว่า “มู่มู่กับเหมยเหมยไปเที่ยวด้วยกันมาเหรอ รีบเข้ามานั่งในบ้านสิ”
เหอปี้อวิ๋นยิ้มแห้งๆ แล้วหยิบจานของว่างมาจากบนตู้ลิ้นชัก เธอชักชวนสยงมู่มู่ให้กินของว่าง พื้นเพครอบครัวของสยงมู่มู่คนนี้ไม่ธรรมดาทีเดียว พื้นเพดีกว่าตระกูลอู่มาก
สยงมู่มู่ไม่ชอบอาหารว่างธรรมดาๆ พวกนี้ เขาพูดอย่างมีมารยาทว่า “ตอนเลิกเรียนผมไม่ทันระวังขี่จักรยานชนโดนขาของเหมยเหมยครับ ก็เลยพาเธอไปทายาที่บ้านคุณย่าหยาง ทำให้กลับมาดึก คุณลุงอู่อย่าตำหนิเหมยเหมยเลยนะครับ”
อู่เจิ้งซือสังเกตเห็นบาดแผลน่ากลัวที่น่องของอู่เหมย ท่าทางจะบาดเจ็บไม่น้อย แล้วพูดว่า “ไม่ตำหนิหรอก ขอบใจนะที่พาเหมยเหมยมาส่ง”
สยงมู่มู่ยิ้มแย้ม “คุณลุงอู่ไม่ตำหนิผมก็สบายใจแล้วครับ”
เหอปี้อวิ๋นยิ้ม “มู่มู่เธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย แล้วเราจะตำหนิเธอได้ยังไงล่ะจ๊ะ มู่มู่คงยังไม่ได้กินข้าวใช่มั้ย ถ้างั้นกินข้าวกับเรามั้ย”
“ขอบคุณครับคุณป้า แต่พ่อผมคงทำกับข้าวเสร็จแล้ว ผมแค่มาส่งเหมยเหมยครับ” สยงมู่มู่พูดจาสุภาพเรียบร้อย ดูก็รู้ว่าเป็นเด็กดีที่ได้รับการอมรมสั่งสอน
เหอปี้อวิ๋นถามด้วยความอยากรู้ “พ่อเธอเป็นคนทำกับข้าว? แม่เธอไม่ทำเหรอจ๊ะ”
ครอบครัวสยงมู่มู่ค่อนข้างลึกลับเล็กน้อย เพราะพ่อแม่ของสยงมู่มู่ไม่ค่อยชอบใกล้ชิดสนิทสนมกับคนอื่นเท่าไรนัก พวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่ใครๆ ต่างพากันอิจฉา นอกจากนี้บ้านเขาเป็นเพียงบ้านเดียวในอาคารบ้านพักครูที่ตั้งห้องครัวเอาไว้ในบ้าน
ด้วยเหตุนี้พอเหอปี้อวิ๋นได้ยินสยงมู่มู่พูดว่าพ่อเขาเป็นคนทำกับข้าว ต่อมความอยากรู้ก็เกิดกระตุกขึ้นมาทันที เธออดที่จะถามไม่ได้
สยงมู่มู่ไม่คิดเช่นนั้น “ที่บ้านผม คุณพ่อเป็นคนทำกับข้าวตลอดครับ แม่ผมทำไม่เป็น อีกอย่างพ่อผมก็ไม่ยอมให้แม่ทำ พ่อบอกว่ามือของแม่ผมไว้เล่นเปียโน ไม่ได้เอาไว้ถือมีดทำครัว”
เหอปี้อวิ๋นเหลือบมองอู่เจิ้งซือด้วยความขมขื่นใจ เธอรู้สึกอิจฉาเหลือเกิน
แต่อู่เจิ้งซือกลับไม่เห็นด้วยกับคุณพ่อของสยงมู่มู่เป็นอย่างมาก ผู้ชายทำงานนอกบ้าน ผู้หญิงดูแลงานในบ้าน ผู้ชายทั้งแท่งขลุกอยู่แต่ในครัวทั้งวันมันดูแปลกพิกล ไม่จัดแบ่งลำดับความสำคัญเลย ทว่าความคิดของเขาลุ่มลึก แม้อยู่ต่อหน้าเด็ก แต่เขาก็ไม่แพร่งพรายสิ่งที่คิดออกมาแม้แต่นิดเดียว
“มู่มู่รีบกลับบ้านไปกินข้าวเถอะ อย่าให้พ่อแม่ต้องรอนาน แล้ววันหลังจะมาเล่นที่บ้านบ่อยๆ ก็ได้นะ!”
อย่างไรก็ตามอู่เจิ้งซือก็รู้สึกชื่นชมสยงมู่มู่อย่างมาก อายุยังน้อยแต่เรียนข้ามชั้นไปตั้งสามชั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้ แต่เขารู้สึกเสียดายมาก สมัยเรียนชั้นประถมผลการเรียนของสยงมู่มู่ยอดเยี่ยมมาก เขาสอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียนทุกครั้ง ไม่เคยได้ที่สองเลย
แต่หลังจากข้ามชั้นขึ้นมาเรียนชั้นมัธยมต้น ผลการเรียนของสยงมู่มู่ก็ไม่คงที่ ที่หนึ่งของโรงเรียนกลายเป็นอู่เยวี่ย แล้วก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ซึ่งทำให้อู่เจิ้งซือภาคภูมิใจมาก ต่อให้มีพรสวรรค์แค่ไหน แต่หากพื้นฐานไม่แน่นก็ไร้ประโยชน์ พ่อแม่ของสยงมู่มู่ยังคงขาดตกบกพร่องในด้านการศึกษาอยู่ หากเป็นเขา มีลูกชายที่ยอดเยี่ยมอย่างสยงมู่มู่แบบนี้ เขาจะไม่ให้สยงมู่มู่รีบร้อนเรียนข้ามชั้นแน่นอน เขาจะปูพื้นฐานให้แน่นก่อนแล้วค่อยว่ากัน
อย่างอู่เยวี่ย เขาก็เป็นคนปูพื้นฐานให้เธอเอง ผลการเรียนของอู่เยวี่ยคงที่มาโดยตลอด ตั้งแต่ชั้นประถมปีที่หนึ่งจนถึงตอนนี้ชั้นมัธยมต้น อู่เยวี่ยไม่เคยตกจากที่หนึ่งเลย
สยงมู่มู่รู้สึกประหลาดใจที่เห็นแววตาเสียดายของอู่เจิ้งซือ เขาไม่เข้าใจว่าชายหัวโบราณคนนี้กำลังเสียดายอะไร เขามองดูอู่เหมยที่นิ่งเงียบตลอดหลังจากกลับถึงบ้าน เขายิ้มพลางพูดว่า “ผมกับเหมยเหมยเพิ่งเจอกันแต่ก็รู้สึกเหมือนรู้จักกันมานาน เราคุยกันถูกคอมาก ต่อไปให้เหมยเหมยไปทำการบ้านที่บ้านผมหลังเลิกเรียนเถอะนะครับ ผมจะได้ถือโอกาสช่วยติวให้เธอด้วย คุณลุงอู่ไม่ว่าอะไรใช่มั้ยครับ?”
เหอปี้อวิ๋นพูดแทรกว่า “เหมยเหมยเราเรียนยังไงก็ไม่เก่งขึ้น มู่มู่เธออย่าเสียเวลาเลยนะ”
สยงมู่มู่เหลือบมองเธอแวบหนึ่ง เขาเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม “ทำไมคุณป้าเหอถึงได้เพิกเฉยเหมยเหมยแบบนี้ล่ะครับ คนที่ไม่รู้จักอาจจะคิดว่าคุณป้าเก็บเหมยเหมยมาจากกองขยะนะครับนี่!”