ตอนที่ 110
ตอนที่ 110 ความหงุดหงิดของเหยียนหมิงซุ่น
“จือจือ”
เจ้ากระรอกน้อยร้องสุดเสียง เสียงของมันเล็กแหลม ดวงตาเล็กๆ เบิกโต แม้อู่เหมยจะไม่เข้าใจว่ามันกำลังพูดอะไร แต่กลับรับรู้ได้ถึงความคิดของมัน เธอถามเสียงเบาว่า “แกไม่ชอบชื่อนี้ใช่มั้ย?”
“กูกู”
เจ้าตัวน้อยส่งเสียงร้องเบาๆ อู่เหมยคิดว่าเธอน่าจะพอเข้าใจกฎการส่งเสียงร้องของเจ้ากระรอกแล้ว เวลาที่ไม่พอใจหรือโมโหก็จะร้องว่าจือจือ ส่วนเวลาปกติจะร้องว่ากูกู แยกแยะได้ง่ายมาก
“งั้นฉันเรียกแกว่าฉิวฉิวดีมั้ย ดูสิแกมีขนปุกปุยเหมือนกับลูกบอลเลย ลูบแล้วรู้สึกนุ่มสบายจริงๆ” อู่เหมยยิ้มตาหยีพลางพูด เธอใช้มือช่วยสางขนให้มันอยู่ตลอดเวลา เจ้าตัวน้อยหลับตาพริ้มเพลิดเพลิน ดูสงบนิ่งมาก
“กูกู”
อู่เหมยหัวเราะอย่างมีความสุข “แกชอบชื่อนี้ใช่มั้ย งั้นฉันเรียกแกว่าฉิวฉิวนะ ฉิวฉิว ฉิวฉิวน้อย ฉิวฉิวแสนดี ฉิวฉิวเด็กดี จุ๊บทีนึง”
เธอกอดเจ้าตัวน้อยพลางขยี้มันเบาๆ แถมยังจุ๊บอีกหลายที อู่เหมยยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง เธอลืมคนรอบข้างไปจนสิ้น ความน่ารักและความไร้เดียงสาที่แผ่ซ่านออกมาโดยธรรมชาติชวนให้ทุกคนต่างจ้องมองตาค้าง
เหยียนหมิงซุ่นได้สติกลับมาเป็นคนแรก เขาหงุดหงิดเล็กน้อย ช่วงนี้นับวันความมุ่งมั่นตั้งใจของเขาก็ยิ่งสั่นคลอนขึ้นเรื่อยๆ จิตใจเขามักจะได้รับผลกระทบจากสิ่งภายนอก ซึ่งสิ่งภายนอกที่ว่านี้ก็คืออู่เหมยตลอดเลย เรื่องนี้ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“เหมยเหมยเธอจะเอาเจ้ากระรอกตัวนี้กลับไปหรือเปล่า?”
“พี่หมิงซุ่น มันชื่อฉิวฉิวค่ะ” อู่เหมยยิ้มตาหยีพลางพูดแก้ให้ถูกต้อง เจ้าฉิวฉิวที่อยู่ในอ้อมแขนก็ส่งเสียงร้องด้วย แถมยังสะบัดหางใส่เหยียนหมิงซุ่น ดูท่าทางใสซื่อน่ารัก
เหยียนหมิงซุ่นแสยะยิ้มมุมปาก แต่ไม่ได้พูดอะไร เขารู้สึกว่าอู่เหมยมีผลกระทบต่อตัวเขาค่อนข้างมาก แบบนี้ไม่ดีเลย ไม่ดีเอามากๆ โชคดีที่เขาตระหนักรู้ถึงปัญหานี้ได้ทันเวลา แก้ไขตอนนี้น่าจะยังทันอยู่
อู่เหมยรู้สึกได้ถึงความเย็นชาขึ้นมากะทันหันของเขา เธอไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร อู่เหมยมองเขาอย่างขลาดกลัว แล้วตอบอย่างระมัดระวังว่า “ฉันจะเอามันกลับไปค่ะ ขอบคุณนะคะพี่หมิงซุ่นที่ช่วยฉันเลี้ยงเจ้าฉิวฉิว”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก คนที่เลี้ยงฉิวฉิวคือคุณย่าฉัน ฉันไม่ได้ออกแรงช่วยอะไรเลย”
เหยียนหมิงซุ่นพูดเสียงเรียบ ส่วนสายตาเสมองไปทางอื่น เขาคิดว่าถ้ามองดวงตากลมโตที่เปียกรื้นของเจ้าเด็กคนนี้ ความมุ่งมั่นตั้งใจของตัวเองต้องได้รับผลกระทบอีกแน่นอน
หากเรื่องสำคัญยังไม่สำเร็จผล เขาจะไม่ยอมให้อะไรมาสั่นคลอนความมุ่งมั่นตั้งใจของเขา ไม่ยอมเด็ดขาด!
แต่ว่าเหยียนหมิงซุ่นยังไม่รู้ว่าบางสิ่งบางอย่างไม่ใช่ว่าเขาอยากจะควบคุมแล้วจะควบคุมได้!
อู่เหมยเบ้าตาแดงเรื่อและพูดเสียงเบาว่า “ยังไงก็ต้องขอบคุณพี่หมิงซุ่นค่ะ ฉันเอาฉิวฉิวไปนะคะ บ๊ายบายค่ะ!”
“บาย!”
เหยียนหมิงซุ่นพูดเสียงเรียบ แล้วหมุนตัวกลับเข้าห้องไป แผ่นหลังเขาดูเย็นชาและหยิ่งทะนง แต่ความหงอยเหงาอ้างว้างที่อยู่ในใจมีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่เข้าใจ เพียงแต่เขาไม่อยากจะเข้าใจเท่านั้นเอง
อู่เหมยกัดริมฝีปากเบาๆ ความเจ็บปวดรวดร้าวเอ่อท้นขึ้นมาที่ปลายลิ้น เธอเป็นคนที่น่ารังเกียจ ไม่มีใครชอบเธอ เหยียนหมิงซุ่นก็เกลียดเธอเช่นกัน!
ต้องเป็นเพราะเมื่อกี้นี้เธอร้องห่มร้องไห้จนน่ารำคาญ เหยียนหมิงซุ่นคงคิดว่าเธอเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องละมั้ง
“เหมยเหมยเป็นอะไรไป ยังเจ็บขาอยู่เหรอ” เหมยซูหานถามด้วยความเป็นห่วง
อู่เหมยได้สติกลับคืนมา เธอรีบส่ายหัว “เปล่าค่ะ ไม่เจ็บแล้วล่ะ ฉันจะกลับบ้านแล้ว พี่ซูหานก็รีบกลับบ้านเถอะค่ะ บ๊ายบาย!”
เธอลากสยงมู่มู่เดินจ้ำออกจากบ้านเหยียน เธอไม่หันไปมองเหมยซูหานที่อยู่ข้างหลัง เมื่อเดินผ่านห้องครัว เธอร้องบอกเสียงดังว่า “คุณย่าหยางสวัสดีค่ะ หนูเอาฉิวฉิวกลับไปนะคะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยดูแลมัน”
คุณย่าหยางออกมาจากห้องครัว เธอมองอู่เหมยกับสยงมู่มู่ด้วยแววตาอ่อนโยน “จะกลับแล้วเหรอจ๊ะ อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับสิ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ขอบคุณค่ะคุณย่าหยาง” อู่เหมยกับสยงมู่มู่ต่างบอกปฏิเสธ
คุณย่าหยางมองดูเจ้าฉิวฉิวอย่างอาลัยอาวรณ์ ในดวงตาฉายแววประหลาดใจ เจ้ากระรอกน้อยตัวนี้มีความระแวดระวังตัวสูงมาก เธอไม่กล้าที่จะแตะต้องมันเลย คิดไม่ถึงว่าเวลาอยู่กับอู่เหมย มันจะว่านอนสอนง่ายขนาดนี้ นี่เป็นพรหมลิขิตจริงๆ