ตอนที่ 103
ตอนที่ 103 แอบทำอย่างลับๆ
วันรุ่งขึ้นหลังจากเลิกเรียนแล้ว อู่เหมยไม่ได้ตรงกลับบ้านทันที แต่กลับเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม เจินหวานหว่านเดินตามมาและถามเสียงดังว่า “เหมยเหมยจะไปไหนเหรอ?”
อู่เหมยขมวดคิ้ว สถานที่ที่เธอจะไปนั้นจะให้เจินหวานหว่านรู้ไม่ได้ ถ้าเจินหวานหว่านรู้ก็เท่ากับอู่เยวี่ยรู้ด้วย แล้วอู่เยวี่ยพี่สารเลวคนนี้จะต้องบอกเหอปี้อวิ๋นอย่างแน่นอน
“ฉันหิวก็เลยจะไปตรงโน้นซื้อแพนเค้กรากบัวกิน” อู่เหมยพูดโพล่งออกมา
พอได้ยินคำว่าแพนเค้กรากบัว เจินหวานหว่านก็น้ำลายสอ เธอไม่ได้กินแพนเค้กรากบัวตั้งนานแล้ว เธออยากจะกินมากเลย
“ฉันก็หิวเหมือนกัน ฉันไปซื้อกับเธอด้วยก็แล้วกันนะ” เจินหวานหว่านเดินมาหาและควงแขนอู่เหมยอย่างสนิทสนม
อู่เหมยสลัดแขนออกโดยไม่แม้แต่จะคิด เธอไม่อยากสัมผัสโดนเนื้อโดนตัวเจินหวานหว่านเลยแม้แต่นิดเดียว เธอพูดอย่างไม่ไว้หน้าว่า “เธอมีเงินติดตัวหรือเปล่า ฉันมีเงินแค่หนึ่งเจี่ยวกับอีกห้าเฟิน เงินพอสำหรับฉันกินคนเดียว”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเจินหวานหว่านแข็งทื่อ เดิมทีเธอตั้งใจจะขอกินกับอู่เหมย เมื่อก่อนก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยขอกินด้วย อู่เหมยอัธยาศัยดีและพูดด้วยง่ายตลอด เพียงแต่ว่ามีเงินติดตัวน้อยเหลือเกิน เธอก็เลยขอกินด้วยได้แค่ไม่กี่ครั้ง
“ฉัน...ลืมเอาเงินมา ถ้างั้นฉันกับเธอกินกันคนละชิ้นก็แล้วกันนะ แล้วฉันค่อยคืนเงินเธอทีหลัง” เจินหวานหว่านยิ้มพลางพูด
“แพนเค้กชิ้นเดียวฉันกินไม่อิ่มหรอก เธอไม่ได้เอาเงินมางั้นก็กลับไปกินข้าวที่บ้านแล้วกันนะ ฉันไปล่ะ”
อู่เหมยบอกปัดโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย อีกทั้งไม่มองสีหน้าเหยเกของเจินหวานหว่านด้วย แล้วอู่เหมยก็วิ่งเหยาะจากไป เจินหวานหว่านกระทืบเท้าปึงปัง แล้วจำต้องกลับบ้านไปด้วยความโมโห
ตอนที่เดินผ่านแผงขายแพนเค้กรากบัว อู่เหมยไม่ได้หยุดแวะซื้อแพนเค้กแต่อย่างใด แม้ว่าเธอจะค่อนข้างหิวจริงๆ ก็ตาม แต่เงินของเธอต้องใช้กับเรื่องสำคัญ จะใช้จ่ายสะเปะสะปะไม่ได้แม้แต่สตางค์แดงเดียว
อู่เหมยวิ่งอยู่ประมาณสิบกว่านาที ในที่สุดก็มาถึงจุดหมายปลายทางสักที และที่นี่ก็คือหอวัฒนธรรมเยาวชนเมืองจิน
หอวัฒนธรรมในสมัยนี้ดูค่อนข้างโกโรโกโส สถานที่ก็ไม่ค่อยกว้างใหญ่เท่าไรนัก แต่ถ้าเด็กๆ ในเมืองจินอยากจะเรียนเสริมความสามารถพิเศษ ก็จะต้องมาที่หอวัฒนธรรมแห่งนี้ ไม่ว่าจะวาดรูป ร้องเพลง เล่นเปียโน ยิมนาสติกหรือเต้นรำก็มีหมด แล้วอาจารย์ทุกคนต่างก็เป็นมืออาชีพ ในชาติหลังดารานักร้องหลายคนต่างก็เคยเรียนที่นี่กันทั้งนั้น
อู่เหมยหยุดพักครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปข้างใน เธออยากจะสอบถามเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนวาดรูป แบบนี้เธอจะได้มีความมั่นใจขึ้น อย่างมากเธอก็แค่เก็บออมเงินค่าขนมกับเงินค่าอาหารกลางวัน เท่านี้ก็น่าจะมีเงินพอที่จะเรียนวาดรูปได้แล้วละมั้ง
“นี่ สาวน้อย เธอมาหาใครเหรอ?”
คุณปู่ที่อยู่ห้องประชาสัมพันธ์เรียกอู่เหมย ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเรียน แล้วเด็กคนนี้มาทำอะไร
อู่เหมยตกใจและหยุดเดิน เธอมองคุณปู่ด้วยความประหม่า อู่เหมยพูดจาติดอ่าง “หนู...หนูอยากเข้าไปดูหน่อยน่ะค่ะ”
พอเห็นหน้าตาของอู่เหมย คุณปู่ก็คิดว่าเด็กสาวคนนี้หน้าตาสะสวยจริงๆ บรรดาหญิงสาวที่เรียนเต้นรำที่หอวัฒนธรรมเหล่านั้นไม่มีใครสวยสู้อู่เหมยได้เลย แล้วคุณปู่ก็พูดเสียงผ่อนคลายขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเรียน หนูกลับไปกินข้าวแล้วค่อยมาใหม่แล้วกันนะ”
อู่เหมยหน้าบึ้งตึงด้วยความผิดหวัง ถ้ากลับไปกินข้าวเธอก็กลับออกมาไม่ได้แล้ว เธอคิดไม่ถึงว่าที่หอวัฒนธรรมจะเข้าเรียนช้าขนาดนี้ แบบนี้ต่อให้เธอเก็บค่าเรียนได้ครบ เธอก็ไม่มีเวลาออกมาเรียนหรอก
“คุณปู่คะ ที่นี่เข้าเรียนเวลาไหนบ้างคะ” อู่เหมยไม่ถอดใจ
“ขอเช็คหน่อยนะ วันจันทร์กับวันศุกร์ตอนหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม ส่วนวันอาทิตย์เก้าโมงถึงสิบโมงครึ่ง หนูอยากเรียนวาดรูปเหรอ” คุณปู่ยิ้มตาหยี
อู่เหมยพยักหน้า แล้วถามอีกว่า “คุณปู่คะ ที่นี่ค่าเรียนวาดรูปเทอมละเท่าไรเหรอคะ”
“ค่าเรียนห้าหยวน ส่วนพวกอุปกรณ์วาดรูป สี แล้วก็กระดาษพวกนี้ หนูต้องซื้อเอง คำนวณดูแล้วเทอมหนึ่งก็สิบกว่าหยวน”
อู่เหมยโล่งอก เงินสิบหยวนนับว่าไม่มาก ตอนนี้เธอได้เงินค่าขนมสัปดาห์ละสองหยวน บวกกับเงินค่าอาหารกลางวันเป็นครั้งคราว หนึ่งเดือนก็เก็บออมได้สิบหยวน เรื่องค่าเรียนไม่ใช่ปัญหา ปัญหาในตอนนี้คือเวลาเรียน วันอาทิตย์ยังพอได้ แต่ที่ยุ่งยากคือวันจันทร์กับวันศุกร์ หลังจากหกโมงเย็นไปแล้วเธอออกมาไม่ได้แน่นอน
“ไอ้หยา!”
เด็กชายชุดดำคนหนึ่งขี่จักรยานชนโน่นชนนี่ แฮนด์จักรยานของเขาเบี้ยวไปเบี้ยวมา แล้วสักพักเขาก็ขี่ชนเข้าที่ขาของอู่เหมย อู่เหมยกับเด็กชายคนนั้นต่างล้มลงกับพื้นทั้งคู่