ตอนที่ 8
บทที่ 8 คุ้นหูจังคำนี้
ซือเยี่ยหานเหมือนจะอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย เจอคำพูดโวยวายของหลินเชวียก็ไม่เห็นทำหน้าขุ่นเคือง
หลินเชวียพินิจมองใบหน้าหล่อระเบิดของเพื่อนตัวเอง ทำสีหน้าเคียดแค้น อิจฉาริษยา “พี่เก้านะพี่เก้า ด้วยฐานะตำแหน่งและรูปร่างหน้าตาของพี่แล้ว มีผู้หญิงแบบไหนที่อยากได้แล้วจะไม่ได้บ้าง? ทำไมต้องลำบากลดตัวลงไปด้วย?”
เยี่ยหวันหวั่นที่เพิ่งเปลี่ยนชุดเรียบร้อยเดินลงมา ก็ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของหลินเชวีย
ทำไมคำพูดของหลินเชวียถึงได้ฟังดูคุ้นหูแบบนี้?
“พี่อยากลองของแปลกชั่วครั้งคราวก็ช่างเถอะ แต่นี่ไม่ได้แค่เล่นๆ แล้ว มันสองปีแล้วนะ เพื่อนอย่างฉันทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว...”
หลินเชวียยังคงบ่น ซือเยี่ยหานที่ทำหน้าเกียจคร้านและเมินเฉยเขาอยู่ตรงข้ามพลันเบี่ยงศีรษะเล็กน้อย สายตามองตรงไปยังทิศทางข้างบน
หลินเชวียหันมองตามสายตาของซือเยี่ยหานไปตามจิตใต้สำนึก
วินาทีต่อมา ทันใดนั้นตรงหน้าสว่างวาบ แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เห็นเพียงสาวน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ด้านบน เธอสวมชุดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ รูปร่างเพรียวบาง ผมสลวยยาวถึงเอว ดวงตาสว่างสุกใส ริมฝีปากดั่งผลพีช ผิวพรรณขาวใสดั่งหยก งดงามดั่งเทพธิดา
สาวน้อยคนนี้...สวยสุดๆ ไปเลย...
ถึงอยู่ต่อหน้าปีศาจหล่อเหลาอย่างซือเยี่ยหาน ก็ยังไม่ถูกกลบรัศมี
ออร่าอ่อนละมุนดั่งปุยเมฆนั้นทำให้คนใจหวั่นไหวเป็นที่สุด แทบทำให้ความปรารถนาที่เก็บซ่อนไว้ระเบิดออกมา!
จนกระทั่งเยี่ยหวันหวั่นเดินมาตรงหน้าโต๊ะอาหารแล้ว หลินเชวียยังมีสีหน้าเคลิบเคลิ้มราวกับฝันไปอยู่เช่นเดิม
เยี่ยหวันหวั่นกวาดมองโต๊ะอาหาร ปกติเธอจะนั่งห่างซือเยี่ยหานไกลมาก ครั้งนี้เธอลองคิดดูแล้ว จึงเลือกนั่งลงตำแหน่งข้างซือเยี่ยหาน
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวนั่งลงข้างตนเอง แววตาที่ซือเยี่ยหานจดจ้องเธอมีประกายวาบไหวเล็กน้อย
ว่ากันว่าพูดน้อยความผิดพลาดก็น้อย เยี่ยหวันหวั่นนั่งลงเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารเช้าเงียบๆ
ตั้งแต่เมื่อครู่ สายตาน่ากลัวนั้นจดจ้องเธอตลอดเหมือนมีรูปร่างจับต้องได้
กลับสู่สภาพเดิมอย่างกะทันหัน ความจริงเธอก็เก้อเขินอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าซือเยี่ยหานจะมีท่าทีอะไร
เพียงแต่ ขนาดสภาพราวกับผีซือเยี่ยหานยังกินไม่เลือกได้ สู้เป็นตัวเองที่งดงามเห็นแล้วสบายตาไม่ดีกว่าเหรอ
เยี่ยหวันหวั่นคิดเช่นนี้ ก็เริ่มก้มหน้ากินโจ๊กอย่างสบายใจ
เวลานี้เอง พลันมีนิ้วมือเรียวยาวนิ้วหนึ่งยื่นมาที่แก้มของเธอ
เยี่ยหวันหวั่นสีหน้าเครียด ร่างกายพลันแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
จากนั้นก็เห็นว่านิ้วข้างนั้นปัดเส้นผมยาวที่เกือบจะตกลงถ้วยโจ๊ก แล้วทัดมันไปไว้หลังใบหู
เวลานี้ ซือเยี่ยหานนั่งหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน เมื่อช่วยทัดเส้นผมให้หญิงสาวเรียบร้อยก็เก็บมือกลับไปอย่างไม่รีบร้อน ทว่าไม่ลดละสายตาที่จ้องมองเธอ เป็นสายตามองพิจารณาแฝงด้วยความอบอุ่นที่สังเกตได้ยาก ค่อยๆ กวาดมองผิวพรรณของหญิงสาวทุกตารางนิ้ว ตลอดจนทุกสีหน้าท่าทางเล็กน้อยของเธอ
เยี่ยหวันหวั่นถอนใจโล่งอก รีบใช้มือกำเส้นผมไว้ เพื่อไม่ให้มันร่วงลงมาอีก
นาทีนี้ ในที่สุดหลินเชวียก็เรียกสติกลับมาได้ ลดเสียงต่ำเอ่ยซุบซิบนินทาอย่างตื่นเต้น “พี่เก้า! ในที่สุดก็คิดได้แล้วสินะ ควรเลือกแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วไหมล่ะ ทั้งสวยทั้งมีความเป็นผู้หญิง แค่เห็นก็อยากทะนุถนอมปกป้อง! ทำไมต้องไปเลือกผู้หญิงที่ทำให้เสื่อมเกียรติอย่างเยี่ยหวันหวั่นด้วย”
เยี่ยหวันหวั่นนิ่งไป ทำให้เสื่อมเกียรติ...
หลินเชวียพูดต่อ “จริงสิ ผู้หญิงอัปลักษณ์คนนั้นล่ะ? ไล่ไปแล้วใช่ไหม?”
เยี่ยหวันหวั่นอึ้งงัน ผู้หญิงอัปลักษณ์...
หลินเชวียเอ่ย “ถึงเมื่อสองปีก่อนเยี่ยหวันหวั่นนั่นจะเพิ่งมาอยู่กับพี่ หน้าตายังไม่จัดจ้านอะไรมาก แต่ว่าตอนนั้นเธอมีน้ำหนักมากทีเดียว! อย่างน้อยๆ ต้องหนักเจ็ดสิบห้ากิโลฯ ล่ะมั้ง!”
เยี่ยหวันหวั่น “...!” เหลวไหล เห็นชัดๆ ว่าแค่หกสิบ! แม้ว่าช่วงวัยรุ่นเธอกินเก่ง จึงอ้วนขั้นร้ายแรง แต่ว่าน้ำหนักตัวเธอก็ไม่เคยแตะเจ็ดสิบห้าไหมล่ะ?
หลินเชวียพูดอีก “พี่เก้า ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจรสนิยมของพี่เลยรู้ไหม ไปชอบคนอ้วนได้ยังไง?”
เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก คนอ้วน...
ไม่มีผู้หญิงคนไหนทนการที่มีคนมาพูดต่อหน้าว่าตัวเองอ้วนได้หรอก!
“ปัง!”
เยี่ยหวันหวั่นวางตะเกียบลงอย่างแรง สายตาดั่งคมมีดมองจ้องไปยังหลินเชวียที่นั่งอยู่ตรงข้าม...
“หลิน! เชวีย! ฉันหนักเจ็ดสิบห้าแล้วจะทำไม ฉันอ้วนแล้วจะทำไม ฉันไปกินข้าวบ้านนายเหรอ!”