icon member

วาสนาบันดาลรัก

ตอนที่ 9

ตอนที่ 9 ขนมเปี๊ยะแผ่นบาง

ฮูหยินผู้เฒ่ามองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง “เจ้าสี่ ในอดีตอาจารย์สอนทำอาหารบอกว่าเจ้าตั้งใจเล่าเรียนมาก ข้ายังคิดว่าอาจารย์หาคำดีๆ มาพูดให้ข้าปลื้มใจเท่านั้น ที่แท้ท่านย่าดูเบาเจ้าเกินไปต่างหาก วันหน้าก็สรรหาอาหารเลิศรสมาอีก หากพี่สะใภ้เจ้ากินได้มากกว่าสองคำ เจ้าย่อมเป็นผู้มีคุณอนันต์ต่อตระกูลเรา”

เจินเมี่ยวระบายยิ้มหวานล้ำอย่างที่สุด “ท่านย่า หลานชอบศึกษาเรื่องพวกนี้เจ้าค่ะ”

ไม่มีความรู้สึกภาคภูมิหรือแย่งชิงความชอบแม้แต่น้อย มีแต่ความเชื่อมั่นและเบิกบานใจเท่านั้น

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วอึ้งงันไป พลันรู้สึกว่าหลังจากหลานสาวผู้นี้ตกน้ำก็ไม่เหมือนเดิมจริงๆ นางลอบเอ่ยในใจว่าเมื่อคนเราเจอเคราะห์ร้ายก็จะเปลี่ยนไปดั่งว่า

ตอนเจินเมี่ยวอยู่ในโลกเดิมนั้น นางชอบอยู่สองเรื่อง หนึ่งคือท่องเที่ยว อีกหนึ่งคืออาหาร เมื่อฝีมือการทำอาหารได้รับคำชมย่อมต้องดีใจ แต่ต่อมากลับถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “น่าเสียดายที่หลานมีความสามารถอยู่เต็มท้อง แต่เตาเล็กๆ นั้นยากจะแสดงฝีมือได้จริงๆ”

เห็นนางขมวดคิ้วทำท่าทางรังเกียจเตาเล็กๆ ของตน ฮูหยินผู้เฒ่าก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมา “ต่อไปห้องครัวใหญ่ของย่าก็ให้เจ้ายืมแล้วกัน แต่มีเพียงอย่างเดียว อย่าได้เผาห้องครัวเป็นพอ”

เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเบิกบานใจ ผู้อื่นก็พลอยหัวเราะไปด้วย

ฮูหยินรองสกุลหลี่ลอบกัดฟันแทบแตก

ตั้งแต่นางแต่งเข้ามา ผ่านไปเพียงปีก็มีบุตรสาวฝาแฝดสองคน แต่นั่นทำให้ร่างกายอ่อนแอ จนถึงบัดนี้ก็ยังมิได้ตั้งครรภ์อีก

ตอนนี้บ้านนางยังไม่มีบุตรชายแม้เพียงสักคน แต่นายท่านรองกลับส่งพวกนางแม่ลูกมาอยู่ที่จวน บอกว่าเพื่อแสดงความกตัญญู ไม่มีนางคอยควบคุม หากปีศาจจิ้งจอกพวกนั้นให้กำเนิดบุตรชายเล่า...

เพียงคิดถึงตรงนี้ก็ทุกข์ระทมประหนึ่งถูกควักตับล้วงหัวใจ ลอบก่นด่าฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ในใจ แต่กลับมิกล้าเผยความรู้สึกออกมา ได้แต่จ้องฮูหยินสามเขม็ง

ผู้หนึ่งตระกูลตกต่ำย่ำแย่ ผู้หนึ่งเป็นสตรีไร้ยางอาย แต่ล้วนปีนขึ้นไปอยู่บนศีรษะนางทั้งสิ้น

ใบหน้าฮูหยินใหญ่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม ในใจกลับมิได้คิดอันใดมากมาย

นางเป็นฮูหยินใหญ่ของตระกูล บุตรสาวแท้ๆ ก็ออกเรือนไปแล้ว มีเพียงบุตรชายคนเล็กที่ต้องห่วงใย หากเด็กสาวที่เหลืออยู่ได้แต่งกับตระกูลสูงศักดิ์ก็มีแต่ข้อดีไม่มีเสีย

เพียงแต่ลอบประหลาดใจอยู่บ้างที่คุณหนูสี่ผู้นี้ช่างมีความสามารถนัก เห็นชัดว่าตกอยู่ในสถานะที่ผู้ใดพบเห็นก็เกลียดชัง แต่กลับเอาอกเอาใจจนฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนใจได้

คุณหนูสามเจินจิ้ง นั่งอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ สมชื่อนาง[1] ตั้งแต่ต้นจนจบก็มิเอ่ยวาจาแม้เพียงคำ แววตาที่มองเจินเมี่ยวกลับนิ่งขรึมเป็นพิเศษ

ทุกคนต่างกลับไปกินข้าวเช้าที่เรือนตน ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้ให้อยู่กินข้าวร่วมกัน สนทนาด้วยเพียงครู่ก็สั่งให้ทุกคนแยกย้าย เมื่อกินอาหารเช้าและดื่มชาเรียบร้อยแล้วจึงพูดคุยกับแม่นมหวัง “เรื่องของเจ้าสาม จัดการเรียบร้อยหมดแล้วหรือ”

แม่นมหวังหยิบไม้นวดขึ้นมานวดขาให้ฮูหยินผู้เฒ่า “แม่นมจางที่คอยติดตามคุณหนูสามเป็นผู้รู้เหมาะสม เรื่องของคุณหนูสามก็มีเพียงสาวใช้คนสนิทสองคนที่ทราบ จึงไล่เพียงบ่าวแก่ๆ ปากมากผู้หนึ่งและสาวรับใช้สองคนไปเท่านั้นเจ้าค่ะ ส่วนทางคุณหนูรอง คุณหนูสี่นั้น ท่านเห็นว่า...”

แม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะมิได้จัดการดูแลภายในจวนแล้ว แต่เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในจวนนั้นหากคิดจะหลบซ่อนกลับทำได้ไม่ง่าย ความจริงเพราะเจี้ยนอานปั๋วเป็นต้นแบบของบุรุษผู้ร่ำรวยรักสบายมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อชราแล้วนอกจากรอยเหี่ยวย่นที่มากขึ้นก็ไม่มีสิ่งใดที่พัฒนาไปแม้เพียงครึ่ง จวนเจี้ยนอานปั๋วแสนใหญ่โตล้วนอาศัยฮูหยินผู้เฒ่าดูแลจัดการทั้งสิ้น จวนเจี้ยนอานปั๋วมิได้ตกต่ำลงไปก็เป็นเรื่องที่นับว่ายากยิ่งแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะออกมา “เจ้ารองเป็นคนสุขุม จัดการเรื่องใดล้วนรู้เหมาะสม อนาคตหากไปอยู่จวนเสนาบดีคงมิทำให้ต้องเป็นห่วง ส่วนเจ้าสี่นั้นกลับทำให้ข้ารู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง...”

“คุณหนูสี่ก็จิตใจดีเช่นกัน...” แม่นมหวังอดพูดมากมิได้

ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้ม “ซูเย่ว์ แค่ขนมหยกมรกตสองชิ้นก็ซื้อเจ้าได้แล้วหรือ”

“ฮูหยินผู้เฒ่า! ”

ฮูหยินผู้เฒ่าตบมือแม่นมหวังไปฉาดหนึ่ง “เอาเถิด ข้ารู้แก่ใจดี พวกนางทั้งสองล้วนเป็นเด็กสาวที่ดี ข้าได้แต่หวังว่าทั้งสองคนจะรู้ความเช่นนี้ตลอดไป”

สำหรับเรื่องเดียวกันนี้ คุณหนูรองหลบหลีกนั้นเป็นเรื่องที่เหมาะสม แต่หากคุณหนูสี่ก็หลบเลี่ยงเช่นกัน กลับกลายเป็นคนใจดำ เห็นแก่ตัวเกินไป

คุณหนูสามฆ่าตัวตายนั้นมีเหตุเกี่ยวข้องกับคุณหนูสี่โดยตรง 

ฮูหยินผู้เฒ่าอายุปูนนี้แล้วยังจะมีอันใดไม่เข้าใจอีก

“นั่นล้วนเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าอบรมได้ดีเจ้าค่ะ” แม่นมหวังพูดไปพลางหวนคิดไปถึงความยากลำบากของฮูหยินผู้เฒ่าในหลายปีนี้ หัวใจพลันเจ็บแปลบขึ้นมา

หากบุรุษบนโลกล้วนเป็นเช่นนายท่านผู้เฒ่า ในวัยหนุ่มก็มีเมียบ่าวเพียงหนึ่งเพียงสองมิได้ให้กำเนิดบุตรสาวบุตรชายจากอนุภรรยามากมายเป็นกอง นั่นก็นับว่าดียิ่งแล้ว

“เจ้าน่ะ มักจะปลอบใจข้าเสมอ อืม สาวใช้ของเจ้าสามก็ไล่ไปแล้ว ส่วนเจ้าสี่ก็มีเพียงจื่อซูคอยปรนนิบัติชิดใกล้ เจ้าเรียกแม่บ้านจ้าวมาหาสักวันเถิด รับซื้อสาวใช้ไว้สักหลายคนหน่อย”

“เจ้าค่ะ” แม่นมหวังรีบรับคำ

…..

เจินเมี่ยวกลับไปฝึกคัดอักษรอีกหนึ่งชั่วยาม เหม่อมองอีกคราก็ใกล้จะถึงยามเที่ยงวันแล้ว

ที่นี่ล้วนกินข้าวสองครั้งคือเช้าและเย็น บ้านใดมีฐานะร่ำรวยก็จะมีของว่างรองท้องยามเที่ยง

เจินเมี่ยวกลับไม่คุ้นชิน มีครั้งหนึ่งนางไปปีนเขา ไม่ทันระวังจึงลื่นตกลงไปในธารน้ำตก นางต้องทนหิวอยู่สองวันถึงมีคนมาช่วย

ตั้งแต่นั้นมา อย่าว่าแต่ให้งดกินข้าวสักมื้อเลย แค่กินช้าไปสักหน่อย หัวใจก็เริ่มสั่นรัวแล้ว

นางคิดจะทำขนมเปี๊ยะแผ่นบางห่อผัก

ครั้นคิดถึงเตาเล็กๆ ที่ไม่ได้เรื่องนั้นแล้ว จึงนึกถึงคำพูดเมื่อเช้าของฮูหยินผู้เฒ่าตอนที่ตนไปน้อมทักทายขึ้นมาได้ เจินเมี่ยวกับจื่อซูไปที่เรือนหนิงโซ่วอีกครั้งอย่างไม่เกรงอกเกรงใจสักนิด

เมื่อพบเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการกิน หนังหน้าของนางก็จะเพิ่มระดับความหนาขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเจินเมี่ยวคิดจะใช้ครัวตนรวดเร็วปานนี้ก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ทั้งยังเกิดความสนใจขึ้นหลายส่วน

ยุคนี้ผู้คนต่างก็เริ่มใส่ใจในการปรุงอาหารแล้ว ทว่ารูปแบบวิธีการยังห่างไกลจากโลกใบนั้นของเจินเมี่ยวยิ่งนัก

เจินเมี่ยวเข้าไปในห้องครัว พบว่าผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ล้วนสดใหม่อย่างที่สุดก็พอใจยิ่ง นางยังไม่รีบทำขนม แต่กลับมองดูวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารทั้งหมดอย่างละเอียดหนึ่งรอบ

เห็นว่ามีถั่วแดงที่แช่ไว้แล้ว จึงเพิ่มน้ำลงไปอีก ใส่เหอถาวเหริน[2] ทุบละเอียดลงไปด้วย แล้วนำถั่วแดงนั้นมาต้ม จึงเริ่มต้นทำขนมเปี๊ยะแผ่นบาง

นำผักกาด หูหลัวปัว[3] หั่นเป็นฝอยเล็กๆ ไปลวกแล้วคลุกเข้ากับแตงกวาหั่นเป็นฝอยใส่เซียงชู่[4] ชิงเจี้ยง[5] หยดน้ำมันงาเล็กน้อย เติมน้ำมันถั่วเหลืองสุกที่ผ่านการคั่วฮวาเจียว[6] ลงสักหน่อย ใส่เนื้อฝอยที่ผัดด้วยเถียนเจี้ยง[7] นำไปวางบนแป้งขนมเปี๊ยะแผ่นบางที่บางราวกระดาษแล้วม้วนเสีย ขนมเปี๊ยะแผ่นบางยัดไส้ผักก็เป็นอันเสร็จ

รอทุกอย่างเสร็จ โจ๊กถั่วแดงก็สุกและเละได้ที่พอดี จึงยกออกมาพร้อมกัน

“ท่านย่า ท่านลองชิมก่อนเจ้าค่ะ” ดวงตากลมโตดำขลับของเจินเมี่ยวจ้องมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่า ด้วยท่าทางรอคอยคำชม

ฮูหยินผู้เฒ่าพ่นเสียงหัวเราะออกมา คีบขึ้นมาชิมหนึ่งชิ้น เปรี้ยวหวานกำลังดีทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของฮวาเจียว ทำให้คนรู้สึกกระหายหิวขึ้นมา

ขนมเปี๊ยะแผ่นบางที่ม้วนเรียบร้อยแล้วมีความยาวประมาณสามชุ่น[8] กินแค่สองคำก็หมดแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่าจึงคีบขึ้นมาอีกชิ้น พลันยินเสียงท้องของเจินเมี่ยวดังโครกคราก จึงอดหัวเราะออกมามิได้ เอ่ยกับแม่นมหวังว่า “ดูเด็กคนนี้เถิด กินช้าไปเพียงคำ ท้องนางก็โมโหใส่ข้าแล้ว ”

แม่นมหวังจึงเอ่ยเย้าตาม “มิอาจตำหนิคุณหนูสี่ที่ใจร้อน แม้แต่บ่าวได้กลิ่นหอมนี้ยังน้ำลายสอ”

เจินเมี่ยวหน้าแดงระเรื่อ แต่กลับพยักหน้าโดยแรง “อืม แม่นมพูดไม่ผิด ขนมเปี๊ยะนี้หอมเหลือเกินแล้ว”

เห็นนางเอ่ยอย่างจริงจังทั้งยังเป็นการเป็นงาน ทำให้คนเห็นแล้วอยากจะหัวเราะ ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มไม่หุบ

แม่นมหวังแปลกใจอยู่เงียบๆ คุณหนูสี่เดิมเป็นผู้ฉลาดหลักแหลมกว่าใคร เหตุใดบัดนี้ถึงมีท่าทางใสซื่อ น่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้

ท่าทางเช่นนี้ ไม่แน่ว่าจะเป็นผู้มีวาสนาคนหนึ่ง

“ท่านย่า ขนมเปี๊ยะนี้ท่านว่าพี่สะใภ้จะกินได้หรือไม่”

ฮูหยินผู้เฒ่าจึงนึกขึ้นได้ รีบสั่งสาวใช้เอาขนมเปี๊ยะแผ่นบางกับโจ๊กถั่วแดงใส่ถาดแบ่งไปให้แต่ละเรือน และกำชับเป็นพิเศษให้เฝ้าดูว่าอวี๋ซื่อกินได้หรือไม่

ผ่านไปไม่นานไป๋เสาผู้เป็นสาวใช้ก็กลับมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า ต้าไหน่ไนกินขนมเปี๊ยะแผ่นบางจนหมดเลยเจ้าค่ะ ส่วนโจ๊กถั่วแดงก็กินได้ถึงครึ่งชาม ท่าทางกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันตาเห็นจะไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินข่าวดีเช่นนั้นก็สั่งให้ไป๋เสาไปนำกล่องไม้แดงที่ใส่เครื่องประดับมา แล้วหยิบกำไลหยกขาวมอบเป็นรางวัลให้แก่เจินเมี่ยว

เจินเมี่ยวกินอิ่มหน่ำใจทั้งยังได้กำไลมาอีก จึงกลับเรือนไปด้วยความเบิกบาน

ถึงยามพระอาทิตย์ตกดิน สาวใช้ก็มารายงานว่าคุณชายใหญ่มาหา

------

[1] เจินจิ้ง อักษรจิ้ง (静) ซึ่งเป็นชื่อของเจินจิ้งนั้นแปลว่า สงบ เงียบ      

[2] เหอถาวเหริน  คือเนื้อวอลนัต วอลนัตคือเหอถาว         

 [3] หูหลัวปัว คือแครอท    

[4] เซียงชู่  ชู่คือน้ำส้ม เซียงแปลว่าหอม เซียงชู่ เป็นน้ำส้มที่ทำมาจากข้าวเหนียว ใช้ในการปรุงรส จุดเด่นคือ มีกลิ่นหอมเข้มข้น  รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ไม่มีรสฝาด เก็บไว้ได้นาน         

[5] ชิงเจี้ยง เป็นเครื่องปรุงรสในสมัยโบราณ เทียบได้กับซอสถั่วเหลืองในปัจจุบัน

[6] ฮวาเจียว มีลักษณะเป็นทรงกลม เปลือกนอกสีน้ำตาลแดง หลังจากตากแห้งจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ลายคล้ายกระดองเต่า เปลือกตรงปลายจะปริแตกออก ด้านในมีเมล็ดเล็กๆ มีกลิ่นหอมเข้มข้นเฉพาะตัว สามารถขจัดกลิ่นคาวในเนื้อ เพิ่มความอยากอาหารได้

[7] เถียนเจี้ยง เป็นซอสปรุงรสชนิดหนึ่ง รสชาติหวานปนเค็ม

[8] ชุ่น เป็นหน่วยวัดของจีน โดยหนึ่งชุ่นยาวประมาณ 3.3 เซนติเมตร

วาสนาบันดาลรัก

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด