ตอนที่ 5
ตอนที่ 5 น้อมทักทาย
“หืม” เจินเหยียนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเสียงเนิบนาบว่า “น้องสี่พูดอีกครั้งสิ เมื่อครู่ข้าฟังไม่ถนัด”
เมื่อเห็นไม้ตีมือนั้นแกว่งไกวไปมา เจินเมี่ยวก็เริ่มตาลาย นางรู้สึกว่าพี่รองผู้มีรูปโฉมงดงาม ท่าทางทรงสง่านั้นคล้ายแม่นมหรง[1] ในตำนานอยู่มาก
เมื่อเห็นนางเงียบ เจินเหยียนจึงถอนหายใจออกมา “น้องสี่เจ้าพักฟื้นร่างกายให้ดีเถิด วาจาเหลวไหลก็มิต้องพูดอีกแล้ว”
กล่าวจบก็เก็บไม้ตีมือซึ่งไร้แม้รอยขีดข่วนนั้นไว้แล้วหมุนกายจากไป
เฉินเมี่ยวทราบดีการบอกว่าไม่แต่งนั้นเป็นเพียงเรื่องขบขัน หลังเงียบอยู่นาน จึงหยิบหมอนที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาปิดหน้า แล้วหลับไปด้วยความกลัดกลุ้ม
นางนับว่าดีขึ้นมากจนสามารถพบผู้คนได้แล้ว ทั้งยังมีคนมาเยี่ยมอยู่ไม่ขาดสาย หนึ่งในนั้นมีพี่สะใภ้ใหญ่อวี๋ซื่อด้วย
เจินเมี่ยวนำความทรงจำของร่างเดิมมาทบทวนอีกครา พบว่าอวี๋ซื่อที่แท้เป็นถึงนักรบหญิง ทั้งยังเป็นบุคคลที่คิดว่าตนห้าวหาญไม่แพ้บุรุษ
ร่างเดิมของนางมุมานะที่จะเป็นสตรีงามผู้สูงส่ง แต่ไหนแต่ไรจึงดูแคลนพี่สะใภ้ผู้นี้ยิ่ง ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงมิใคร่จะดีนัก
อวี๋ซื่อเดินเข้ามา วางของขวัญและเอ่ยถามไถ่ไม่กี่คำก็ลุกขึ้นเตรียมลาจาก
“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านช่วยอยู่คุยเป็นเพื่อนข้าอีกสักประเดี๋ยวได้หรือไม่”
อวี๋ซื่อมองเจินเมี่ยวด้วยความตกใจครู่หนึ่ง
สาวน้อยผู้นี้ปกติเมื่อพบนางมักแสดงสายตาว่ารังเกียจ วันนี้กลับเอ่ยปากรั้งคนไว้ ทำให้แปลกใจไม่น้อยเลยจริงๆ
อวี๋ซื่อมีอุปนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา จึงเอ่ยตามตรงว่า “พิณ หมากรุก พู่กัน ภาพวาด พี่สะใภ้ล้วนมิใคร่มีความรู้ ทำเป็นเพียงรำทวนสร้างอาวุธ เกรงน้องสาวฟังแล้วจะรังเกียจว่าแปดเปื้อนหู”
เจินเมี่ยวฟังแล้วตื่นเต้นจนแทบจะร้องไห้ ที่นางปรารถนาคือการรำทวนสร้างอาวุธ
ในเมื่อเรื่องแต่งงานมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ เวลาหนึ่งปีนี้นางต้องฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่ง ถึงตอนนั้นก็สามารถป้องกันตัวได้
น้องสามีพี่สะใภ้ ผู้หนึ่งยินดีฟัง ผู้หนึ่งบอกเล่าถึงสิ่งที่ตนถนัดเป็นที่สุด สนทนาไปมาก็ใช้เวลาไปถึงครึ่งชั่วยาม[2]
“พี่สะใภ้ใหญ่ พูดเช่นนี้ แสดงว่าหากคิดจะมีพื้นฐานที่ดีจะต้องเริ่มจากการฝึกยืนย่อเข่า ทั้งยังต้องแช่น้ำอาบสมุนไพรสูตรพิเศษอีก”
อวี๋ซื่อกำลังจะพยักหน้า แต่สีหน้าพลันเปลี่ยนไป นางใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากแล้วอาเจียนลมออกมา
เจินเมี่ยวตะลึงงันไป พี่สะใภ้เป็นเช่นนี้ ต้องตั้งครรภ์แน่แล้ว ในละครมักแสดงให้เห็นอยู่บ่อยๆ
อวี๋ซื่อหน้าแดงเรื่อขึ้นก่อน แต่เมื่อไม่เห็นสาวน้อยมีปฏิกิริยาอื่นใดก็ได้แต่อึ้งงันไป
สาวน้อยทั่วไปล้วนมิได้แสดงออกเช่นนี้
เจินเมี่ยวมีสติคืนมาจึงเอ่ยถามด้วยใบหน้าใสซื่อ “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเป็นอันใด หรือกินของผิดสำแดง”
“อุบ...ไม่ ไม่ใช่” อวี๋ซื่ออึกๆ อักๆ แล้วรีบหาข้ออ้างปลีกตัวออกไป
พักผ่อนไปอีกสิบกว่าวัน เจินเมี่ยวอ่านตำราเลี่ยหนี่ว์จ้วน[3] จบแล้ว ในที่สุดร่างกายก็ฟื้นตัวจนเกือบหายดี
ในมือถือแจกันกระเบื้องเคลือบสีขาว ปากแคบฐานกว้าง มีดอกท้อหลายกิ่งปักอยู่อย่างสวยงาม พร้อมทั้งพาจื่อซูไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าพำนักอยู่ที่เรือนหนิงโซ่วซึ่งตั้งอยู่ส่วนหลังของจวนเจี้ยนอานปั๋ว ห่างจากสวนเฉินเซียงของเจินเมี่ยวไปพอควร
ตอนเจินเมี่ยวไปถึง เหงื่อก็ท่วมเต็มร่างแล้ว
“คุณหนูสี่มาแล้ว”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ด้านในก็เงียบกริบทันที
เจินเมี่ยวกอดดอกไม้เดินเข้าไป โขกศีรษะ เสียงกังวานใสเอ่ยว่า “หลานสาวน้อมทักทายท่านย่าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเหลือบตาขึ้นมอง เห็นนางคุกเข่าหลังตรง ใบหน้าก้มต่ำ ร่างทั้งร่างนิ่งสงบ มีเพียงดอกท้อสีแดงในอ้อมอกเท่านั้นที่ไหวติง ทำให้คนชื่นชอบอย่างบอกไม่ถูก
ฮูหยินผู้เฒ่าพลันรู้สึกว่าหลานสาวผู้นี้มิใคร่เหมือนเดิมเท่าใดนัก จึงอดจ้องมองอยู่หลายคราไม่ได้
คนที่อยู่ในห้องล้วนเงียบเสียงไปโดยไม่รู้ตัว
“ท่านย่า ดอกท้อที่น้องสี่เก็บมาช่างงามเหลือเกิน หลานกำลังขาดปิ่นดอกไม้พอดี จะเลือกเอาของท่านสักสองสามดอกได้หรือไม่” เจินเหยียนพูดจาเย้าแหย่
ฮูหยินผู้เฒ่าชำเลืองมองนางคราหนึ่ง “เจ้าลิงตัวนี้ มีสิ่งดีอันใดล้วนอยากได้ บัดนี้แม้แต่ดอกท้อของน้องสาวตนยังมิยอมปล่อยผ่าน”
พูดพลางกวาดตามองเจินเมี่ยว เอ่ยเสียงเรียบว่า “ลุกขึ้นเถิด”
เจินเมี่ยวลุกขึ้นยืน แล้วจึงน้อมทักทายต่อฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรองและทักทายกับบรรดาพี่น้อง หลังจากนั้นก็มองดูเจินเหยียน เจินปิง เจินอวี้ล้อมวงพูดคุยหยอกล้อกับฮูหยินผู้เฒ่า
นางเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดร่างเดิมถึงได้มีอุปนิสัยชอบเอาชนะ
นอกจากคุณหนูใหญ่ที่แต่งออกไปแล้ว เจินเหยียนนั้นสง่างามและรู้ความยิ่งทำให้เป็นที่โปรดปรานของฮูหยินผู้เฒ่ามากที่สุด
นายท่านรองเจริญก้าวหน้าจากการสอบได้เป็นบัณฑิตชั้นสูง จึงทำงานอยู่ข้างนอกตลอด เพื่อแสดงความกตัญญู สองปีก่อนจึงส่งภรรยาและบุตรสาวกลับมาที่จวน
บิดามีความสามารถแต่มิอาจอยู่ด้วยได้ ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมต้องรักและสงสารเจินปิงกับเจินอวี้มากหน่อยเป็นธรรมดา อีกทั้งการมีบุตรแฝดนั้นน้อยนักจะพบเห็น จึงยิ่งโปรดปรานมากขึ้นไปอีก
คุณหนูสามเป็นบุตรของอนุภรรยาจึงไม่ขอกล่าวถึงแล้ว เหลือก็แต่เจินเมี่ยว บิดานั้นใช้ชีวิตไปวันๆ ด้านหน้ายังมีพี่สาวที่เป็นดุจหยกดุจมุก สาวน้อยผู้นี้จึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคนวิปริต เรื่องราวมีสาเหตุและที่มาเช่นนี้เอง
เจินเมี่ยวนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้นตลอด ระหว่างนี้เจินเหยียนส่งสายตามาให้หลายคราก็มิได้ตอบสนองอันใด
ประการที่หนึ่งเพราะนางไม่ถนัดเรื่องแย่งชิงความรัก ประการที่สองนางยังนับว่าเป็นผู้มีความผิดอยู่ หากยามนี้กระโดดไปกระโดดมาคงทำให้คนหัวเราะเยาะ
คนโง่งมก็มีศักดิ์ศรีเช่นกัน รู้หรือไม่
เพียงแต่หัวข้อที่เหล่าฮูหยินและดรุณีน้อยพูดคุยกันมันทำให้ง่วงนอนจริงๆ เจินเมี่ยวนอนพักอยู่นานทำให้ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ เมื่อนั่งเงียบไป นั่งเงียบไป ก็ผล็อยหลับไปเสียแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าใช้สายตาอันเฉียบคมกวาดมองไปที่เจินเมี่ยวคราหนึ่ง เห็นนางแม้ไม่ส่งเสียงแต่ร่างกายกลับยังนั่งตรงดุจพู่กัน จึงอดพยักหน้าอยู่เงียบๆ มิได้
เจ้าสี่ผ่านเรื่องนั้นมาแล้วกลับเป็นคนที่มีแบบมีแผนขึ้น
กำลังคิดจะเอ่ยถามสักประโยคสองประโยคกลับพบว่าเจ้าเด็กคนนั้นหลับไปแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าแทบจะกระอักโลหิตออกมา ได้แต่กดข่มมันไว้ แสร้งเอ่ยคล้ายมิได้มีโทสะใดว่า “พวกเจ้าออกไปเถิด ส่วนเจ้าสี่นั้นอยู่ก่อน”
เมื่อได้ยินว่า “เจ้าสี่” สองคำนี้ เจินเมี่ยวก็พลันตกใจตื่นขึ้นมา นัยน์ตาเหลือบเห็นทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพเพื่อลากลับ จึงรีบลุกขึ้น เอ่ยตามน้ำไปว่า “หลานขอตัวลาก่อนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าแทบจะกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “เจ้าสี่อยู่ก่อน! ”
เจินเมี่ยวสามารถนั่งหลับได้นั้น เป็นเพราะนางฝึกมาตั้งแต่ตอนเข้าเรียนเมื่อสมัยอยู่ในโลกเดิม นอกจากฮูหยินผู้เฒ่าที่ตั้งใจสังเกตดูนางกับคุณหนูรองเจินเหยียนแล้ว ผู้อื่นล้วนดูไม่ออก จึงทำเพียงมองนางครู่หนึ่งแล้วก็ทยอยออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจินอวี้ที่นั่งอยู่ข้างเจินเมี่ยวจึงเอ่ยเสียงขึ้นจมูกอย่างยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นว่า “อย่าคิดว่าได้หมั้นกับซื่อจื่อของเจิ้นกั๋วกงแล้วท่านย่าจะเอ็นดู”
เมื่อคนออกไปหมด สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าก็พลันนิ่งขรึมขึ้น “ตัวอัปรีย์ ยังไม่รีบคุกเข่าลงอีก! ”
“ท่านย่า” เจินเมี่ยวคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย เงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเป็นประกายนั้นเต็มไปด้วยคำถาม
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกเบื่อหน่ายอยู่เต็มอก โบกมือสะบัด “พวกเจ้าก็ออกไปด้วย”
จื่อซูและสาวใช้หลายคนของฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ภายในห้องต่างออกไปจนหมด เหลือเพียงแม่นมหวังที่ยืนอยู่ด้านหลัง
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยต่อว่า “ตัวอัปรีย์ เจ้าถึงกับ...ถึงกับกล้านั่งหลับต่อหน้าข้า! หากไปอยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วกงก็ยังคงเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่เจ้าจะต้องทำให้จวนเจี้ยนอานปั๋วเสื่อมเสียให้ถึงที่สุดเลยหรือไร! ”
เจินเมี่ยวกลับสูดลมหายใจเข้าคราหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าช่างเฉียบแหลมจริงๆ ยามนั้นแม้แต่อาจารย์ประจำชั้นที่พวกตนตั้งฉายาว่าซุนหงอคงยังดูไม่ออกด้วยซ้ำ
ใบหน้าเจินเมี่ยวเต็มไปด้วยความละอายใจ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “ท่านย่า หลานผิดไปแล้ว หลายวันมานี้หลานมักจะนอนไม่หลับ ครั้นมาอยู่กับท่านย่า ไม่ทราบด้วยเหตุใดจึงรู้สึกผ่อนคลายยิ่งทำให้เผลอหลับไป”
ที่นางพูดเป็นความจริง ตั้งแต่ทราบว่านางได้หมั้นหมายกับซื่อจื่อของเจิ้นกั๋วกง ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นมักจะปรากฏขึ้นในฝันของนางเสมอ เรื่องนอนไม่หลับนั้นเป็นเรื่องจริง
“นอนไม่หลับรึ” ฮูหยินผู้เฒ่าพิจารณาเจินเมี่ยวอย่างละเอียด จึงพบว่าใต้ตานางมีรอยคล้ำจางๆ อยู่จริงๆ
น้ำเสียงในยามนั้นจึงนิ่งขรึมลง “เหตุใดจึงนอนไม่หลับ เหล่าสาวใช้ปรนนิบัติเจ้าอย่างไรซูเย่ว์ เรียกจื่อซูเข้ามา”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่จื่อซูเจ้าค่ะ เป็นหลานเองที่มัก...มักฝันว่ามีคนมาบีบคออยู่เรื่อย”
------
[1] แม่นมหรง ตัวละครในเรื่ององค์หญิงกำมะลอ เป็นแม่นมที่มีความเข้มงวด ดุดันอย่างมาก
[2] ชั่วยาม เป็นหน่วยบอกเวลา เท่ากับสองชั่วโมง ครึ่งชั่วยามจึงเท่ากับหนึ่งชั่วโมง
[3] ตำราเลี่ยหนี่ว์จ้วน เป็นตำราที่กล่าวถึงพฤติกรรม กิริยามารยาทที่สตรีจีนในยุคโบราณพึงปฏิบัติ