ตอนที่ 48
ตอนที่ 48 กลับจวน
หลัวเทียนเฉิงมองโลหิตที่ปลายนิ้วตนแล้วโกรธจนมือสั่น
นางกล้าได้อย่างไร!
เขายื่นมือที่เปื้อนโลหิตนั้นไปยังม่านเกี้ยว แต่ก็ชักกลับคืนมาด้วยความโมโห
เขาไม่อยากถูกผู้คนรุมล้อมมุงดูอีกแล้ว ทั้งจมูกที่มีโลหิตไหลรินนี้อีก หากถูกสตรีผู้นี้พบเห็นเข้า คงต้องหัวเราะเยาะหยันเขาแน่!
หลัวเทียนเฉิงข่มกลั้นอารมณ์โกรธไว้ เช็ดโลหิตที่จมูกแล้วเร่งความเร็วมากยิ่งขึ้น
เจินเมี่ยวกินจนอิ่มหนำแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปาก นางมิได้ใส่ใจจะดูบรรยากาศและคนที่อยู่ด้านนอกว่าเป็นอย่างไรเลย ร่างโงนไปเงนมาแล้วหลับไปตลอดทางกระทั่งถึงจวนเจี้ยนอานปั๋ว
จวนเจี้ยนอานปั๋วล้วนตกอยู่ในบรรยากาศแห่งความกังวลมิอาจสงบใจลงได้ เมื่อเกี้ยวมาถึงก็มีบ่าวรับใช้ที่ว่องไวผู้หนึ่งวิ่งไปรายงานทันที
เจินเมี่ยวยกกระโปรงตนขึ้น นางก้าวออกมาจากเกี้ยว เท้าเพิ่งเหยียบถึงพื้นก็เห็นหลัวเทียนเฉิงหมุนกายจากไปอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ไป! ”
เขาควบม้าออกไปอย่างไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ
เมื่อมองเกี้ยววังที่ถูกทิ้งห่างอยู่ด้านหลังและฝุ่นละอองฟุ้งตามเส้นทางนั้นแล้วเจินเมี่ยวก็ต้องนวดคลึงดวงตาตนครู่หนึ่ง
แย่แล้ว โรคจิตปริตของคู่หมั้นนางนั้นกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว
ผู้ใดปล่อยเขาออกมากันเล่า
เจินเมี่ยวผู้มีความกลัดกลุ้มอยู่เต็มอกนั้นเดินเข้าไปทางประตูด้านข้าง ฮูหยินผู้เฒ่าสลัดทิ้งผู้คนเดินออกไปรับ เมื่อเห็นท่าทางของเจินเมี่ยวก็ต้องสะดุ้งตกใจ แล้วรีบเดินเข้าไปกุมมือนางไว้ “เจ้าสี่ เจ้าเป็นอันใด”
ฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้าดุจดินดำ นางเอ่ยด้วยริมฝีปากสั่นระริกว่า “หรือ หรือเจ้าถูกฝ่าบาทลงทัณฑ์”
สีหน้าฮูหยินรองสกุลหลี่นั้นย่ำแย่ยิ่งกว่าฮูหยินผู้เฒ่าเสียอีก นางสะบัดผ้าเช็ดหน้าเตรียมกรีดร้องแต่ถูกฮูหยินใหญ่สกุลเจี่ยงดึงรั้งไว้โดยแรง
“พี่สะใภ้ เหตุใดต้องดึงข้าเล่า”
นางเจี่ยงไม่สนใจนาง ประคองฮูหยินผู้เฒ่าไว้แล้วเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า เมี่ยวเอ๋อร์เพิ่งเดินทางมาถึงคงเหนื่อย มีเรื่องอันใดก็ไปคุยในเรือนเถิด”
หากเจินเมี่ยวก่อเรื่องจริงก็มิอาจพูดคุยป่าวประกาศอยู่ที่นี่ได้
เหล่าบริวารได้ยินเสียงลมก็ล้วนคิดว่าเป็นฝน เมื่อเกิดความวิตกกังวลก็อาจก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นได้
เฮ้อ บ้านเล็กแห่งจวนปั๋วนั้น เมื่อเสื่อมเสียก็เสื่อมเสียไปทั้งหมด ครั้นมีเกียรติก็มีเกียรติไปทั้งหมด ความพิโรธของจักรพรรดิผู้ใดต่างมิอาจขวางได้
เจี่ยงฮูหยินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แต่สีหน้ากลับมิได้บ่งบอกอารมณ์ชัดเจนนัก เพียงมองเจินเมี่ยวด้วยสายตาล้ำลึกคราหนึ่ง
นางเวินกลับมิได้คิดเรื่องนี้แม้แต่น้อย
บุตรสาวของนางจะก่อเรื่องได้อย่างไร ดูท่าทางแล้วคงถูกคนรังแกมาเสียมากกว่า
“เมี่ยวเอ๋อร์” นางเวินโอบร่างของเจินเมี่ยวไว้ด้วยใบหน้าเป็นกังวล
“ท่านแม่ ลูกไม่เป็นอันใด ท่านป้าใหญ่พูดถูก มีเรื่องอันใดเข้าเรือนไปพวกเราค่อยคุยกันเถิด”
คนกลุ่มหนึ่งเพิ่งเดินเข้าไปในเรือนหนิงโซ่ว นางหลี่ก็เอ่ยตัดพ้อขึ้นมาก่อน “เฮ้อ เจ้าสี่...ก่อนหน้านี้เจ้าได้ก่อเรื่องให้จวนปั๋วของเราต้องอับอาย แต่นับเป็นเรื่องดีที่สุดท้ายได้แต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์ ถึงจะมีผลกระทบต่อน้องสาวทั้งสองของเจ้าอยู่บ้าง แต่ข้าผู้เป็นป้าคงทำได้เพียงดีใจแทนเจ้า ทว่าครั้งนี้กลับก่อเรื่องขึ้นในวัง นั่นเป็นการคว่ำเรือนล้างตระกูลเชียวนะ! โอ้สวรรค์ ครั้งนี้เจ้ามิใช่ทำลายชีวิตคนแก่และเด็กจำนวนนับร้อยกว่าคนเลยหรอกหรือ”
“พี่สะใภ้รอง ท่านพูดอันใด เมี่ยวเอ๋อร์ก่อเรื่องวุ่นวายอันใดงั้นหรือ” เมื่อได้ยินนางหลี่เอ่ยเช่นนั้น นางเวินก็โกรธจนทนไม่ไหว
ฮูหยินผู้เฒ่าเคาะไม้เท้าลงพื้นโดยแรงคราหนึ่ง “เอาล่ะ พวกเจ้าสองคนมิต้องทะเลาะกัน เจ้าสี่ เจ้าพูดมาว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
“ท่านย่า ไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นจริงๆ เจ้าค่ะ ฝ่าบาทเพียงทอดพระเนตรดูหลานแกะสลักลูกท้อเป็นดอกกุหลาบก็ทรงให้หลานกลับจวน”
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกไม่เชื่ออยู่บ้าง เห็นท่าทางเจินเมี่ยวดูกลัดกลุ้มจนหน้าดำคร่ำเครียดมิเหมือนไม่มีเรื่องราวใดเลย จึงอดเอ่ยถามไม่ได้ว่า “เจ้าทำเรื่องใดมากันแน่”
หรือว่าถูกผู้สูงศักดิ์ใดลงโทษ แต่นางเป็นสตรีหน้าบางจึงมิกล้าพูด?
“ตอนที่ออกมาจากวัง ข้าไม่ทันระวังลื่นล้มไปคราหนึ่ง”
ทุกคน “...”
“ไม่...ไม่มีอันใดอื่นอีก” ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกใหญ่
เจินเมี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ฝ่าบาทตรัสว่าต้องเลือกสหายเล่าเรียนให้องค์หญิงฟางโหรวเจ้าค่ะ”
“อันใดนะ องค์หญิงจะคัดเลือกสหายเล่าเรียน” นางหลี่ร้องเสียงแหลมขึ้นมา
เหล่าบรรดาผู้สูงศักดิ์ต่างทราบดีว่าสหายเล่าเรียนขององค์หญิงต้องมีอายุระหว่างแปดถึงสิบสองปี บุตรสาวฝาแฝดของนางก็อยู่ในช่วงอายุนี้พอดีเสียด้วย!
นางหลี่มองเจินเมี่ยวด้วยสายตาปีติยินดี หัวใจนั้นแทบจะบินออกมาแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าทราบว่าเจินเมี่ยวมิได้ก่อเรื่องจริงๆ ก็วางใจ ส่วนการเลือกสหายเล่าเรียนขององค์หญิงนั้นกลับมิได้สนใจอันใดมากนัก
ในบรรดาตระกูลผู้สูงศักดิ์นั้นจวนเจี้ยนอานปั๋วอยู่เพียงระดับกลาง สหายเล่าเรียนมีทั้งหมดสี่คน โดยทั่วไปจะเป็นผู้อยู่ในตระกูลสูงศักดิ์สองคน บุตรขุนนางสำคัญอีกสองคน
อย่างไรก็คงไม่มีทางตกมาถึงบุตรหลานของจวนเจี้ยนอานปั๋วแน่
“เช่นนั้นก็ดี เจ้าสี่ เจ้าไปมาครึ่งค่อนวันแล้วคงเหนื่อย รีบกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด อืม ก่อนหน้านี้หลัวซื่อจื่อได้ส่งคนนำตั๋วเงินมาให้ บอกว่าเป็นเงินที่องค์หญิงฟางโหรวซื้อขนมเฉียวกั่วและแตงสลัก ข้าสั่งให้คนเอาไปส่งที่สวนเฉินเซียงแล้ว จื่อซูเป็นผู้เก็บรักษาไว้” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเนิบ
จื่อซูที่ยืนอยู่ด้านหลังของเจ้านายทั้งหลายพยักหน้าเบาๆ ให้กับเจินเมี่ยว
ความริษยาปรากฏวูบบนใบหน้านางหลี่
นั่นมากถึงหนึ่งพันตำลึงเชียวนะ!
จวนปั๋วจัดพิธีแต่งงานให้เหล่าคุณหนูก็เป็นเงินจำนวนนี้เช่นกัน
เจ้าเด็กน่าตายผู้นี้เที่ยวแต่ก่อเรื่องให้คนต้องอกสั่นขวัญแขวน แต่นางกลับรับเงินทางซ้ายที ทางขวาทีเข้าถุงหนังของตนเองไป ทั้งไม่รู้จักแสดงความกตัญญูต่อผู้ใหญ่แม้เพียงสักนิด
นางหลี่ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจจึงอดกลอกตาใส่เจินเมี่ยวมิได้
ครั้นได้รับสายตาเช่นนั้นจากนางหลี่ เจินเมี่ยวกลับอดยิ้มดีใจดุจบุปผากำลังเบ่งบานมิได้
จื่อซูยกมุมปากขึ้นครู่หนึ่ง คุณหนูของนางเป็นอันใดไปแล้ว ถูกกลอกตาใส่แต่กลับเบิกบานใจถึงเพียงนี้?
“พวกเจ้าก็เป็นกังวลมาครึ่งค่อนวันแล้ว คิดว่าคงเหนื่อยเช่นกัน กลับไปให้หมดเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่าโบกสะบัดมือไปมา
ครั้นเห็นเจินเมี่ยวมิขยับจึงถามว่า “เจ้าสี่ ยังมีเรื่องใดอีกหรือ”
“ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อันใดเจ้าค่ะ เพียงแต่ฝ่าบาททรงกำชับว่า ต่อไปนี้ทุกๆ สิบวันหลานต้องเข้าวังคอยอยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงฟางโหรวเจ้าค่ะ”
“ว่าอย่างไรนะ! ฝ่าบาทเลือกเจ้าเป็นพระสหายเล่าเรียนหรือ” นางหลี่ร้องเสียงสูงขึ้น สีหน้าที่มองไปยังเจินเมี่ยวนั้นย่ำแย่อย่างยิ่ง
ราชวงศ์ต้าโจว ยังมิเคยมีตระกูลใดที่คุณหนูเป็นพระสหายเล่าเรียนขององค์หญิงถึงสองคนมาก่อน นี่เท่ากับนางได้ยึดเอาสิทธิ์ที่ควรตกเป็นของเจินปิงกับเจินอวี้ไปแล้วงั้นหรือ
เจ้าตัวภัยพิบัติ!
ผู้อื่นล้วนเหลียวมองที่เจินเมี่ยวอย่างตกตะลึงอึ้งงัน
เจินเมี่ยวกลับมีสีหน้าราบเรียบ “ท่านป้ารองพูดเย้าเล่นแล้ว หลานอายุสิบสี่ปีเต็มแล้ว ไหนเลยจะมีคุณสมบัติเป็นพระสหายเล่าเรียนได้ แค่ต้องเข้าเฝ้าองค์หญิงฟางโหรวทุกๆ สิบวันเท่านั้น”
เมื่อได้ยินวาจานี้ สายตาของทุกคนล้วนทอประกายวาบขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากุมมือเจินเมี่ยวไว้ “ดี ดี เจ้าสี่ ย่าคิดไว้แล้วว่าเจ้านั้นเป็นแบบอย่างที่ดีได้ องค์หญิงฟางโหรวเป็นองค์หญิงที่ฝ่าบาททรงรักที่สุด เจ้าเพียงดูแลองค์หญิงให้ดี วันหน้าย่อมมีแต่ผลดีไม่มีที่สิ้นสุด”
นางเจี่ยงจึงเอ่ยด้วยใบหน้าระรื่นว่า “เจ้าสี่ องค์หญิงยังทรงพระเยาว์ วันหน้าเจ้าเข้าวัง เกรงว่าอาจจะมีเวลาที่มิได้รับความเป็นธรรม ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าได้ตอบโต้ต่อองค์หญิง เพียงอดทนสักปี ทุกอย่างก็ผ่านไปแล้ว อนาคตเมื่อเจ้าเข้าไปอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกง ตำแหน่งฐานะเช่นนี้สามารถทำให้เจ้ายืดอกได้อย่างสง่างาม”
นางหลี่มิได้เอ่ยสิ่งใด แต่ใจกลับคิดตกแล้ว เจ้าสี่ได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท เช่นนั้นมิใช่จะสามารถช่วยเหลือเจินปิง เจินอวี้ในการคัดเลือกพระสหายเล่าเรียน...
ทุกคนภายในห้องล้วนอารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน มีเพียงนางเวินที่มีสีหน้าเรียบเฉย
รอกระทั่งออกจากเรือนหนิงโซ่วแล้ว นางเวินก็มองจื่อซูคราหนึ่งค่อยดึงเจินเมี่ยวเข้าไปกระซิบว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ แม่มิขอให้เจ้าได้รับความโปรดปรานจากองค์หญิง ขอเพียงมิไปยั่วให้องค์หญิงกริ้วจนทำให้ตนลำบากก็พอ ทนสักปีหนึ่งเถิด เจ้าออกเรือนไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”
นี่คือข้อแตกต่างของมารดาแท้ๆ กับผู้อื่น
เจินเมี่ยวก้มหน้ารับคำ เอ่ยออกมาด้วยความจริงใจว่า “ท่านแม่ ลูกทราบแล้ว ท่านวางใจเถิด”
เมื่อลานางเวินแล้วก็พาจื่อซูกลับไปยังสวนเฉินเซียง
สองนายบ่าวต่างเงียบไปตลอดเส้นทาง ครั้นใกล้จะถึงสวนเฉินเซียง จื่อซูก็เอ่ยถามออกมาอย่างมิอาจอดกลั้นได้ในที่สุด “คุณหนู เมื่อครู่ฮูหยินรองมองท่านเช่นนั้น เหตุใดท่านกลับแย้มยิ้มด้วยความเบิกบานเล่าเจ้าคะ”
เจินเมี่ยวนิ่งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ข้าเดาว่าท่านป้ารองยิ่งโมโห ก็แสดงว่าตั๋วเงินของข้านั้นยิ่งเพิ่มมากขึ้นใช่หรือไม่”
จื่อซู “...”