ตอนที่ 44
ตอนที่ 44 หวงโฮ่ว
เจาเฟิงตี้ก็เห็นว่าเจินเมี่ยวเสียสมาธิแล้ว จึงขยับเข้าไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว ด้วยคิดจะดูให้ชัดว่าเกิดอันใดขึ้น
เจินเมี่ยวมองหนอนครึ่งตัวที่ดิ้นไปมานั้นแล้วขมวดคิ้ว แกะสลักมาถึงเพียงนี้แล้วแท้ๆ หรือต้องเปลี่ยนลูกท้อลูกใหม่งั้นหรือ
เจินเมี่ยวมองหนอนเล็กๆ ที่อยู่ในเนื้อลูกท้อแล้วค่อยๆ ยกมีดแกะสลักขึ้น เนื้อลูกท้อด้านในนั้นมิได้ถูกหนอนกัดจนหมด เสียหายไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วแววตาก็สว่างวาบขึ้นมาทันที มีทางแล้ว!
“รบกวนนำมีดนี้ไปล้างให้ข้าทีเถิด” เจินเมี่ยวกวักมือเรียกนางกำนัลที่เมื่อครู่ยื่นผ้าเช็ดมือให้นางซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก
นางกำนัลมองเจาเฟิงตี้คราหนึ่ง
“ไปทำตามที่คุณหนูสี่บอก” เจาเฟิงตี้เอ่ยเสียงเรียบ
นางกำนัลผู้นั้นเดินเข้าไปหาเจินเมี่ยวด้วยกิริยาอย่างชาววังแล้วรับมีดมา
ครั้นเห็นหนอนครึ่งตัวที่กำลังดิ้นอย่างเบิกบาน มือก็สั่นจนทำมีดแกะสลักตกลงพื้นทันที
เมื่อโลหะกระทบกับอิฐจึงเกิดเสียงดังก้องกังวานขึ้น นางกำนัลพลันหน้าขาวซีด คุกเข่าลงพื้นดังพลั่ก เอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจ “ฝ่าบาทโปรดทรงอภัยด้วยเถิดเพคะ โปรดทรงอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ! ”
เจาเฟิงตี้อายุปูนนี้แล้วจึงยังคงสงบนิ่งดุจภูผา แต่ความแปลกใจที่มีกลับทวีความรุนแรงขึ้น เขาเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “มีเรื่องอันใดกัน”
“คือ...บนมีดมีหนอนอยู่ครึ่งตัวเพคะ...” นางกำนัลก้มศีรษะลงต่ำอย่างที่สุด ร่างสั่นเทาดุจร่อนแป้ง ลอบด่าตนว่าสมควรตายอยู่ในใจ เหตุใดแค่เห็นหนอนเพียงครึ่งตัวกลับเสียกิริยาไปได้!
เจินเมี่ยวเห็นนางกำนัลที่นิ่งสุขุมกลายเป็นบุปผาเปลี่ยนสีในพริบตาก็พาให้งุนงงอยู่บ้าง
แค่หนอนเท่านั้น ทั้งยังเหลือเพียงครึ่ง มิอาจกัดคนได้เสียหน่อย เหตุใดต้องตกใจปานนี้
เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงนของเจินเมี่ยว มุมปากเจี่ยงกุ้ยเฟยก็ได้แต่แข็งค้าง ในใจกล่าวว่าบุปผาพิสดารจากที่ใดกัน สตรีทั่วไปเห็นหนอนโผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน มิควรต้องตกใจจนขว้างสิ่งของในมือทิ้งไปหรอกหรือ เหมือน...เหมือนนางกำนัลที่สมควรตายผู้นี้อย่างไรเล่า!
เจี่ยงกุ้ยเฟยกวาดตามองนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาดุร้าย
นางกำนัลเสียขวัญจนหน้าขาวซีด โขกศีรษะตนไม่หยุด
เจาเฟิงตี้ก็มิเบิกบานใจแล้วเช่นกัน
เดิมเขาอารมณ์ดียิ่ง แต่กลับถูกนางกำนัลผู้นี้กวนเสียขุ่นมัว
นี่เป็นนางกำนัลประหลาดจากที่ใดกัน เพราะหนอนเพียงตัวเดียวถึงกลับกล้าเสียกิริยาต่อหน้าเรา! หรือความน่าเกรงขามของเราผู้ซึ่งเป็นจักรพรรดินั้นลดต่ำลง?
มิอาจไม่กล่าว ไม่ว่ายุคสมัยใด ความคิดของบุรุษและสตรีล้วนแตกต่างกันเสมอ
“อาอวิ๋น ในเมื่อนางกำนัลผู้นี้กลัวหนอนมากเพียงนี้ เราเห็นว่านางคงไม่เหมาะอยู่ปรนนิบัติข้างกายเจ้าอีก เช่นนี้ให้นางไปอยู่ที่โรงซักผ้าแล้วกัน” เจาเฟิงตี้เอ่ยวาจาอย่างตัดสินใจ ไล่นางกำนัลที่หน้าคล้ำดุจคนตายออกไป
“อืม ตามแต่พระทัยฝ่าบาทเถิดเพคะ” เจี่ยงกุ้ยเฟยไม่แม้แต่จะมองนางกำนัลผู้นั้นสักนิด
“ไปเปลี่ยนมีดแกะสลักเล่มใหม่มา” เจาเฟิงตี้กวาดตามองนางกำนัลอีกคนคราหนึ่ง แล้วหันมองที่เจินเมี่ยว “จะต้องเปลี่ยนลูกท้อลูกใหม่ใช่หรือไม่”
เจินเมี่ยวรีบส่ายหน้า “ไม่ต้องเปลี่ยนเพคะ หม่อมฉันเพียงดึงหนอนอีกครึ่งตัวออกมาก็สามารถแกะสลักต่อไปได้แล้วเพคะ”
ดึงออกมา ดึงหนอนอีกครึ่งตัวออกมา...
เจี่ยงกุ้ยเฟยถึงกับไร้วาจาจะเอ่ยต่อแล้ว
เจินเมี่ยวมีสีหน้าเสียดาย “เพียงแต่มิอาจเสวยได้แล้วเพคะ”
สำหรับนางแล้ว อาหารเลิศรสที่ทำออกมาอย่างงดงามประณีตนั้นก็เพื่อให้คนที่กินเบิกบานสำราญใจ มิเช่นนั้นก็ไร้ซึ่งความหมาย
เจี่ยงกุ้ยเฟย...
เจาเฟิงตี้ค่อยยกมุมปากขึ้น เอ่ยถามว่า “คุณหนูสี่สกุลเจิน เมื่อครู่นางกำนัลน้อยเห็นหนอนแล้วเกิดความกลัวจนเป็นเช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงไม่กลัวเล่า”
เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยความสัตย์ซื่อว่า “หม่อมฉันไม่กลัวหนอนเพคะ นอกเสียจากว่า...”
“นอกจากอันใด” เจาเฟิงตี้ถาม
“นอกจากกัดกินลูกท้อแล้วพบว่ามันเหลือเพียงครึ่งตัวเพคะ” เจินเมี่ยวเอ่ยจริงจังอย่างยิ่ง
เจาเฟิงตี้ได้ฟังคำตอบนี้แล้วก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมาทันที
เมื่อมองเจินเมี่ยวที่มีท่าทีงุนงงนั้นแล้วพลันรู้สึกว่าแม้สตรีน้อยนี้มิได้ปราดเปรื่องอันใด แต่ก็เป็นบุคคลที่น่าอัศจรรย์อย่างยากจะพบเห็น
ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะอันเบิกบานใจของเจาเฟิงตี้ ความไม่พอใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเจี่ยงกุ้ยเฟยวูบหนึ่ง นางบิดผลองุ่นออกมาด้วยท่าทีสง่างามยิ่งพลางเอ่ยว่า “คุณหนูสี่สกุลเจินช่างกล้าหาญนัก สตรีทั่วไปไหนเลยไม่กลัวหนอน ว่าไปแล้วนางกำนัลผู้นั้นช่างโชคไม่ดีนักที่ต้องมาล้างมีดแกะสลักให้คุณหนูสี่สกุลเจิน”
วาจานี้แฝงนัยยะว่าเจินเมี่ยวช่างใจดำ นางกำนัลน้อยต้องถูกลงโทษเพราะมาล้างมีดแกะสลักให้นาง แต่นางกลับมิเอ่ยปากช่วยเหลือสักคำ
ความจริงเจินเมี่ยวออกจะเห็นใจนางกำนัลน้อยนั้นอยู่มาก เพียงแต่มิได้คิดว่าตนในยามนี้มีสิทธิ์ที่จะขอร้ององค์จักรพรรดิได้ตามใจชอบ
กล่าวตามตรงแล้ว ในสายตาขององค์จักรพรรดิ นางกับนางกำนัลน้อยผู้นั้นมีอันใดแตกต่างกันเล่า อีกอย่างนางกำนัลน้อยผู้นั้นปรนนิบัติรับใช้กุ้ยเฟย นางมีฐานะเป็นเจ้านายเหตุใดมิขอร้องเล่า และหากคิดให้ละเอียดลงไปอีก การแกะแตงสลักนี้ก็เป็นรับสั่งของฝ่าบาท
แม้เจินเมี่ยวมิได้เป็นคนมากแผนการ แต่ตรรกะง่ายๆ นางกลับชัดแจ้งยิ่ง ทั้งมิได้เป็นผู้มีบงกชขาวพิสุทธิ์อยู่กลางใจ นางเพียงแค่เห็นใจแต่มิได้มีความรู้สึกผิดใดกับนางกำนัลน้อยเลย
“การได้ปรนนิบัติรับใช้กุ้ยเฟยนั้นนับเป็นโชคอันดีที่สุดแล้วเพคะ” เจินเมี่ยวพูดพลางรับมีดแกะสลักที่นางกำนัลส่งให้ นางเขี่ยหนอนอีกครึ่งตัวขึ้นมาอย่างระมัดระวัง และเริ่มแกะสลักอีกครั้ง
เจี่ยงกุ้ยเฟยโกธรจนต้องกำหมัดแน่น แต่ภายนอกกลับมิได้แสดงสีหน้าหรือเอ่ยสิ่งใด
ผ่านไปไม่นาน ดอกกุหลาบนั้นก็เสร็จสมบูรณ์ เจินเมี่ยววางมันลงในถาด นางกำนัลจึงยกไปถวายเจาเฟิงตี้
เจาเฟิงตี้พิจารณาแตงสลักที่ถูกยกมาอย่างละเอียด
กลีบดอกสีขาวอมชมพูซ้อนกันเป็นชั้นสวยงาม แต่สองกลีบสุดท้ายที่ห่อหุ้มเกสรไว้นั้นกลับมีรอยกัดกินของหนอน
กล่าวไปแล้วหากไม่มีรอยกัดนี้ มันคงเป็นเพียงลูกท้อที่ถูกแกะสลักให้กลายเป็นดอกกุหลาบที่สมจริงยิ่ง แต่เมื่อมีร่องรอยนี้กลับทำให้ดอกกุหลาบนั้นดูมีชีวิตขึ้นมา
เจาเฟิงตี้มองเจินเมี่ยวด้วยสายตาล้ำลึกคราหนึ่ง
นางสามารถทำให้สิ่งที่เป็นจุดด้อยกลายเป็นจุดเด่นขึ้นมาได้ สตรีน้อยผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ !
“ดี ดี แกะสลักได้ไม่เลวเลยจริงๆ ”
“ฝ่าบาททรงเห็นสิ่งล้ำค่าอันใดหรือเพคะ ให้หม่อมฉันได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อยได้หรือไม่” เสียงสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น
เจินเมี่ยวค่อยๆ กวาดตาขึ้นมองคราหนึ่ง
ผู้ที่มาสวมชุดชาววังสีเหลืองอร่ามยาวคร่อมพื้น ด้านบนปักด้วยดอกหมู่ตานสีเขียวดอกใหญ่อันงดงามแปลกตาไม่เหมือนผู้ใด ดอกหมู่ตานนั้นสวยงามสมจริงยิ่ง
สตรีที่สามารถสวมใส่สีนี้ มีเพียงหวงโฮ่ว1 เท่านั้น
“พี่สาวมาแล้ว” เจี่ยงกุ้ยเฟยลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน ถวายพระพรด้วยท่าทีอ่อนช้อยงดงามยิ่ง แล้วนั่งลงข้างองค์จักรพรรดิเช่นเดิม
จ้าวหวงโฮ่วหุบยิ้มทันใด “น้องสาวมากพิธีแล้ว”
เจินเมี่ยวถอนหายใจ แล้วคุกเข่าลงพื้นถวายพระพรอีกครา
“นี่เป็นคุณหนูตระกูลใดหรือ รีบลุกขึ้นเถิด”
เจี่ยงกุ้ยเฟยปิดปากหัวเราะคราหนึ่ง “พี่สาวไม่ทราบหรอกหรือ นี่คือคุณหนูสี่สกุลเจินแห่งจวนเจี้ยนอานปั๋ว ผู้ที่ทำขนมเฉียวกั่วและแกะแตงสลักได้ประณีตงดงามมากที่สุดในเทศกาลชีซีอย่างไรเล่าเพคะ” พูดพลางใช้ดวงตาคู่งามนั้นจ้องมองจ้าวหวงโฮ่วเขม็ง
เมื่อได้ฟังวาจานี้ สายตาที่จ้าวหวงโฮ่วมองเจินเมี่ยวก็เย็นชาขึ้นโดยพลัน แต่นางแค้นเคืองวาจาของเจี่ยงกุ้ยเฟยยิ่งกว่า
ยามนี้จะมีผู้ใดบ้างไม่ทราบว่าขนมเฉียวกั่วและแตงสลักของคุณหนูสี่สกุลเจินถูกตัดสินให้เป็นสุดยอดผลงาน และผู้ที่พ่ายแพ้คือคุณหนูเจ็ดแห่งจวนมู่เอินโหว หลานสาวแท้ๆ ของนาง!
“หวงโฮ่วมาดูเถิด คุณหนูสี่สกุลเจินนั้นสมคำร่ำลือจริงๆ ” เจาเฟิงตี้คร้านจะใส่ใจกับวาจาเชือดเฉือนของสตรี จึงเรียกให้หวงโฮ่วมาชื่นชมผลงานของเจินเมี่ยวด้วยกัน
จ้าวหวงโฮ่วมองเพียงครู่ แม้จะตกใจกับความงามนั้น ทว่าโทสะกลับยังมิคลาย แววตาเป็นประกายขึ้นวูบหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ฝ่าบาททรงชอบแตงสลักของคุณหนูสี่สกุลเจินถึงเพียงนี้ เช่นนั้นมิสู้ให้นางสอนวิธีแกะสลักนี้แก่ห้องเครื่องหลวงดีหรือไม่เพคะ”
“พี่สาว คุณหนูสี่สกุลเจินอย่างไรก็เป็นตระกูลสูงศักดิ์ จะให้ไปเป็นอาจารย์สอนห้องเครื่องหลวง เกรงว่าคงไม่ดีเท่าใดนัก” เจี่ยงกุ้ยเฟยเอ่ยปากคล้ายกำลังช่วยเจินเมี่ยวกระนั้น
[1] หวงโฮ่ว หรือฮองเฮาในภาษาจีนฮกเกี้ยน แปลว่าจักรพรรดินี