ตอนที่ 4
ตอนที่ 4 สั่งสอนน้องสาว
เพิ่งกล่าวจบก็มีสตรีแน่งน้อยสามคนเดินเข้ามา
สตรีที่เดินนำหน้ารูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าเนียนใสรูปไข่ห่าน นัยน์ตาโตฉ่ำน้ำ นางเป็นพี่สาวคนโตของเจินเมี่ยวนั้นเอง นับเป็นคุณหนูรอง นามเจินเหยียน
ปีนี้นางอายุสิบหก ได้หมั้นหมายกับหลานคนโตสายภรรยารองของรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งกรมพระคลัง กำลังเตรียมตัวออกเรือน ดังนั้นปกติจึงมิได้ออกไปนอกจวน งานชมบุปผาครั้งนี้จึงมิได้ไปร่วมด้วย
ด้านหลังตามติดด้วยพี่น้องฝาแฝด เจินปิงและเจินอวี้ บุตรสาวของบุตรชายคนรองของตระกูล
“พี่รอง น้องห้า น้องหก รีบนั่งลงก่อนเถิด” เจินเมี่ยววางตำราไว้บนโต๊ะอีกด้านหนึ่งแล้วหยัดกายขึ้นนั่งตัวตรง
เจินอวี้ชำเลืองมองตำราเล่มนั้นแวบหนึ่ง หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “สอนหญิง หึๆ พี่สี่ควรอ่านไว้ให้ละเอียด”
เจินเมี่ยวพยักหน้าโดยแรง “อืม กำลังอ่านถึง ‘หากเอ่ยวาจา มิพูดหยาบช้า หลังเอ่ยวาจา มิให้คนชัง จึงเรียกคำหญิง’ ”
เจินอวี้พลันโมโหจนหน้าแดงเถือก เอ่ยว่า “หึ พี่สี่ ท่านทำเรื่องเช่นนั้นแล้วยังมีหน้ามาประชดประชันผู้อื่นอีกหรือ! ”
เจินเหยียนสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาโตสองคู่นั้นจ้องมองเจินอวี้ “น้องหกระวังคำพูดด้วย น้องสี่ดื้อรั้นจนพลัดตกน้ำไป ก็ย่อมมีบิดามารดามีผู้อาวุโสอบรม ไม่มีเหตุผลใดที่ผู้เป็นน้องสาวจะต้องมาชี้หน้าด่าทอ หรือป้ารองสั่งสอนเจ้ามาเช่นนี้”
เจินอวี้โกรธแทบตายแล้ว บ้านเล็กนี้ล้วนเบิกตากล่าววาจาเหลวไหลทั้งสิ้น
“อันใดคือดื้อรั้นจนพลัดตกน้ำ เห็นชัดว่า...”
“น้องหก! ” เจินปิงดึงรั้งน้องสาวฝาแฝดตนไว้
เจินเหยียนเม้มปาก เชิดคางขึ้นเล็กน้อย “น้องห้า ข้าว่าน้องหกคงเลอะเลือนแล้ว เจ้าพานางกลับไปพักผ่อนเถิด หากให้ข้าฟังนางพูดจาเหลวไหลต่อไปอีก คงต้องได้เรียนให้ท่านย่าจัดการเป็นแน่”
“อืม” เจินปิงลุกขึ้น เอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “พี่สี่ ท่านพักผ่อนมากๆ นะ อีกสักสองสามวันน้องสาวจะมาเยี่ยมท่านใหม่”
กล่าวจบก็ลากเจินอวี้เดินออกไปด้านนอก
เจินอวี้สะบัดมือนางออก หันกลับมายิ้มเย็น “พี่สี่ สวรรค์ล้วนเฝ้ามองอยู่ มืดดำจนมิอาจมองเห็นขาวแล้ว ท่านอาศัยแผนการต่ำช้าทำให้ตนได้ครอบครองการแต่งงานที่ดีงาม พี่สามกลับต้องมาถูกท่านทำร้ายเสียอเนจอนาถแทน...”
เห็นเจินปิงและเจินอวี้จากไปแล้ว เจินเหยียนจึงมองไปที่จื่อซู “พี่จื่อซู รบกวนท่านพาพวกนางออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับคุณหนูสี่”
“บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ” ซูจื่อรีบแสดงความเคารพแล้วนำสาวใช้เด็กๆ ออกไป
“พี่รอง...” เจินเมี่ยวมีคำถามเกิดขึ้นเต็มอก
ในวาจาของเจินอวี้เมื่อครู่ได้เปิดเผยเรื่องราวมากเกินพอแล้ว
“ยื่นมือออกมา”
“พี่รอง?”
เจินเหยียนล้วงไม้ตีมือออกมาจากแขนเสื้อ แล้วตีเพี๊ยะเข้าที่มือของเจินเมี่ยว
“ครั้งนี้ตีแทนท่านแม่ ท่านแม่เป็นผู้มีเกียรติเสมอมา เพราะเจ้าทำเรื่องเช่นนี้ ทำให้ท่านแม่โกรธกระทั่งอาเจียนเป็นโลหิต ข้าตีเจ้า เจ้ายอมรับหรือไม่ ”
เห็นเจินเมี่ยวพยักหน้า เจินเหยียนก็ตีอีกครา “ครั้งนี้ ข้าตีแทนน้องสาม นางเป็นบุตรของอนุภรรยา การแต่งงานนั้นเดิมก็ไม่ง่ายอยู่แล้ว ท่านย่าต้องทุ่มเทเพียงใดจึงหาคู่หมั้นให้นางได้ แต่กลับถูกเจ้าทำพังเสียแล้ว ข้าตีเจ้า เจ้ายอมรับหรือไม่ ”
เจินเหยียนตัดสินใจแล้วว่าจักต้องสั่งสอนน้องสาวคนนี้สักครา เพื่อป้องกันมิให้วันหน้าก่อเรื่องที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นไปอีก การตีสองครั้งนี้จึงมิได้ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย
เจินเมี่ยวเจ็บจนน้ำตาคลอ “พี่รอง ท่านบอกว่างานมงคลของพี่สามพังเสียแล้วงั้นหรือ ”
คุณหนูสามเจินจิ้งเป็นบุตรีของบ้านเล็ก และเป็นบุตรของอนุภรรยาเพียงคนเดียวในจวนเจี้ยนอานปั๋ว ก่อนหน้านี้เพียงไม่นานได้หมั้นหมายกับบุตรชายคนที่สามผู้ยังเยาว์วัยของ หยางอวี้เต๋อเสนาบดีกรมพิธีการ
“แม้การที่เจ้าวิ่งชนเสาพิสูจน์ความบริสุทธิ์จะช่วยกู้หน้ากลับมาได้บ้าง แต่ตระกูลเสนาบดีหยางเคร่งครัดในธรรมเนียม เดิมน้องสามก็เป็นเพียงบุตรของอนุ เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ การถอนหมั้นก็เป็นเรื่องที่มิเหนือความคาดหมาย”
เจินเมี่ยวฟังแล้วรู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง
การถูกถอนหมั้นของสตรีในยุคนี้ช่างเป็นเรื่องใหญ่ดุจท้องนภา
นางไม่มีหน้าไปกล่าวว่านี้เป็นการกระทำความผิดของร่างเดิม ไม่มีอันใดเกี่ยวกับตน
ล้อเล่นแล้ว ในเมื่อยืมร่างผู้อื่นเพื่อมีชีวิตอยู่ เสพสุขกับความสะดวกสบายในฐานะของผู้อื่น เช่นนั้นก็ควรรับผิดชอบและแบกรับความผิดพลาดของร่างเดิมด้วย
เมื่อคิดถึงตัวเอง แม้ว่าจะโง่เขลาอยู่บ้าง แต่ด้านความคิด ชีวิตและจิตใจยังนับว่าปกติดีอยู่
“พี่รอง ข้าจะไปรับโทษกับพี่สามเดี๋ยวนี้” เจินเมี่ยวหยัดกายทำท่าจะลุกขึ้น
เจินเหยียนกดร่างนางไว้ “เอาล่ะ รอเจ้าหายดีก่อนค่อยว่าเถิด ยามนี้น้องสามคงกำลังเสียใจ หากเห็นเจ้าคงเสียใจมากขึ้นไปอีก”
เจินเมี่ยวผงกศีรษะคราหนึ่ง “อืม ทราบแล้ว”
เห็นนางใจลอยเช่นนั้น เจินเหยียนกลับรู้สึกว่าน่ามองเสียยิ่งกว่าท่าทางหัวแข็งดึงดันในอดีตของนางเสียอีก น้ำเสียงที่โกรธขึงจึงอ่อนลงเล็กน้อย “ข้าตีเจ้าสองครั้งนี้ เพื่อให้เจ้าจดจำไว้ ไม่ว่าท่านแม่หรือน้องสามล้วนเป็นสตรี สตรีบนโลกใบนี้ล้วนไม่ง่าย สิ่งที่เจ้าคิดไว้คือสิ่งใด มิใช่ว่าสุขหรือทุกข์เจ้าแบกรับไว้เองก็สิ้นเรื่อง สำคัญอยู่ที่เมื่อเสื่อมเสียก็เสียไปกันหมด หากมีเกียรติก็ล้วนมีร่วมกัน ผู้อื่นต้องมาพลอยลำบากไปด้วยเจ้าจะสงบใจได้เช่นนั้นหรือ ส่วนเรื่องชื่อเสียงของจวนเราคงได้แต่รอดูการกระทำของเจ้าเมื่อยามแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงแล้วว่า จะสามารถกู้หน้าที่ทำหล่นหายไปกลับมาได้หรือไม่”
เมื่อเริ่มแรกเจินเมี่ยวยังฟังด้วยความสำนึกผิด ภายหลังจึงเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “จวนเจิ้นกั๋วกงหรือเจ้าคะ”
เจินเหยียนเห็นน้องสาวแท้ๆ ของตนมองดั่งคนโง่งม ใจก็ร้องว่าแย่แล้ว หากทึ่มทื่อเช่นนี้จะสามารถใช้ชีวิตในจวนเจิ้นกั๋วกงได้อย่างไร
“ไม่ผิด ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงได้ส่งแม่สื่อมาที่จวนและได้จัดการเรื่องหมั้นหมายของเจ้ากับซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกงเรียบร้อยแล้ว รอให้ถึงปีหน้าเมื่อเจ้าผ่านพิธีปักปิ่น[1] ก็ค่อยแต่งออกไป”
เจินเมียวมึนงงไปหมด “ซื่อจื่อของเจิ้นกั๋วกง ซื่อจื่อของเจิ้นกั๋วกงที่ใดกัน ”
เจินเหยียนถลึงจ้องน้องสาวด้วยสายตาดุร้าย เวลานี้เอง นางพลันเชื่อขึ้นมาบ้างแล้วว่าน้องสาวของนางตกน้ำไปเพราะความเลินเล่อจริง
“ย่อมต้องเป็นคนที่ตกน้ำลงไปพร้อมเจ้า โลกนี้ยังจะมีซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงใดได้อีกเล่า ”
เสียง ‘เปรี้ยง’ ดังขึ้นคราหนึ่ง ความรู้สึกย่ำแย่กระจายไปทั่วร่างเจินเมี่ยว
คนผู้นั้น!
นางคล้ายหวนกลับไปอยู่ในสายน้ำอันหนาวเหน็บเสียดกระดูกนั้นอีกครั้ง ในลำคอล้วนเต็มไปด้วยน้ำ นางสำลักจนมิอาจหายใจได้
นิ้วมือเรียวยาวเย็นเยียบนั้นกุมอยู่บนลำคอนาง ยิ่งบีบยิ่งแน่น ยิ่งบีบยิ่งแน่นมากขึ้นไปทุกที
นางรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวโลหิตที่พุ่งขึ้นมาในส่วนลึกของลำคอ แต่ที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าคือดวงตาแสนงดงามทว่าเต็มไปด้วยความเย็นชาและอาฆาตคู่นั้น
เกลียดชัง อาฆาตแค้น บ้าคลั่ง
นางคล้ายมองเห็นอารมณ์ความรู้สึกอันเลวร้ายทุกชนิดบนโลกใบนี้ในดวงตาคู่นั้นก็ไม่ปาน
นางไม่สงสัยสักนิด หากคนผู้นั้นปรากฏตัวต่อนางหน้าอีก คงบีบคอนางตายอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยเป็นแน่
เมื่อเห็นเจินเมี่ยวจู่ๆ ก็นิ่งงันไปประหนึ่งถูกฟ้าฝ่า ดวงตาเหม่อลอย ใบหน้าขาวซีด ร่างทั้งร่างสั่นเทาไม่หยุด เจินเหยียนก็กระโดดเข้าไปคว้ามือของเจินเมี่ยวมากุมไว้ เอ่ยเสียงเย็นเยียบว่า “น้องสี่ เจ้าเป็นอันใด ”
ร่างอันอ่อนปวกเปียกกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของนางคล้ายลูกแมวน้อยที่ถูกงมขึ้นมาจากน้ำก็มิปาน น้ำเสียงอ่อนล้าเช่นกัน “พี่รอง ข้ากลัว”
นางกลัวจริงๆ ครั้งที่สามแล้ว สวรรค์ช่างโหดร้ายนัก!
เจินเหยียนมีฐานะเป็นบุตรสาวคนโตของบ้านเล็ก มีจิตใจกว้างขวาง สง่างามมาแต่เยาว์วัย เดิมรู้สึกทำอันใดไม่ถูกอยู่บ้าง ทว่าไม่ทราบเหตุใดเมื่อโอบกอดน้องสาวที่ตัวสั่นเทาเช่นนั้นแล้วใจกลับอ่อนยวบลง นางตบหลังเจินเมี่ยวอย่างเบามือพลางเอ่ยปลอบโยนว่า “ไม่ต้องกลัว ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นคนมีเหตุมีผล ในเมื่อเลือกเจ้าแล้ว ขอเพียงเจ้าประพฤติดี ระวังวาจา ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมต้องเอ็นดูเจ้าแน่ ซื่อจื่อไม่มีมารดา เจ้าเองก็มิต้องกังวลว่าแต่งไปแล้วจะมีแม่สามีมาคอยตำหนิ”
สตรีจะมีชีวิตอยู่อย่างสบายใจได้หรือไม่ ต้องดูที่การอยู่ร่วมกันกับแม่สามีและเหล่าพี่น้องภายในเรือน
เมื่อไม่มีแม่สามีคอยกดข่ม ซื่อจื่อก็ไม่มีพี่น้อง แม้มีพี่น้องก็ยังต้องแยกเรือนอยู่
เรื่องตกน้ำพรรค์นี้ สำหรับบุรุษแล้วย่อมมิได้กอดเกาะแม้นตายก็มิยอมปล่อยเช่นสตรี ขอเพียงค่อยๆ กอบกุมใจของซื่อจื่อเอาไว้ วันเวลาอันยาวนานเช่นนั้นก็สามารถผ่านไปได้ด้วยดีแล้ว
เจินเมี่ยวฟังแล้วร่างแข็งทื่อไปทันที
เจินเมี่ยวยิ่งกลัวกว่าเดิมเสียอีก หากมีแม่สามี ทุกวันคอยรับใช้ปรนนิบัตินาง อย่างน้อยตนก็ยังมีที่ให้หลบซ่อน
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบีบคอเป็นครั้งที่สาม เจินเมี่ยวจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “พี่รอง ข้าไม่อยากแต่ง”
------
[1] พิธีปักปิ่น เมื่อเด็กสาวอายุครบสิบห้าปีซึ่งถือเป็นวัยที่สามารถออกเรือนได้แล้ว จะต้องผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะ ซึ่งในพิธีนี้เด็กสาวจะรวบผมมัดเป็นมวยไว้กลางศีรษะ ญาติผู้ใหญ่ของเด็กสาวจะเชิญแขกผู้หญิงมาช่วยปักปิ่นผมให้กับเด็กสาว แสดงถึงว่าเด็กสาวคนนั้นเติบโตและพร้อมที่จะออกเรือนแล้ว