ตอนที่ 33
ตอนที่ 33 เหยียดหยาม
“คุณหนู วางใจเถิด ข้าหยิบองุ่นสองพวงจากรถม้ามาแล้วเจ้าค่ะ” อาหลวนชี้ไปยังตะกร้าพลางเอ่ยเสียงเบา
เจินเมี่ยวจึงโล่งอกลงได้ นางรู้สึกว่าอาหลวนช่างใส่ใจนัก มิเช่นนั้นอีกประเดี๋ยวคงไม่ทราบจะพูดอย่างไรแล้ว
ขนมเฉียวกั่วและแตงสลักที่ต้องลอยในเทศกาลชีซีจะต้องจัดวางในเรือไม้น้อยที่มีขนาดเท่าใบหน้าคนซึ่งทำมาเป็นพิเศษ
บรรดาสาวน้อยสาวจะนำสิ่งของมาวางใส่ แล้ววางเรือไม้น้อยนั้นลอยลงไปในแม่น้ำเหลียนอี ปล่อยให้มันลอยไปตามคลื่นลม
ต่างเล่าขานกันว่ายิ่งลอยไปไกลเท่าใด ยิ่งบ่งบอกว่าการแต่งงานในอนาคตจะยิ่งสมบูรณ์ราบรื่น
เจินเหยียนนำน้องสาวทั้งหลายไปที่ริมแม่น้ำ
“พี่เหยียน เหตุใดจึงเพิ่งมา เมื่อครู่ข้าเดินตามหาท่านไปเสียทั่ว” สาวน้อยสวมกระโปรงสีเหลืองผู้หนึ่งเดินเข้ามาหา นางกุมมือเจินเหยียนไว้อย่างสนิทสนม
เจินเมี่ยวจำได้ว่านางคือคุณหนูแห่งจวนฉางเล่อปั๋ว นามว่าเถาหว่าน ซึ่งคบหาด้วยดีกับเจินเหยียนมาตลอด
เจินเหยียนได้เห็นสหายสนิทที่มิได้พบกันเสียนานก็ดีใจยิ่ง “พาน้องสาวทั้งหลายไปเล่นที่ด้านโน้น จึงยังมิได้มา”
เถาหว่านได้ยินเจินเหยียนเอ่ยเช่นนี้ จึงทักทายเจินปิงและน้องสาวหลายคนอย่างเรียบง่าย กระทั่งถึงเจินเมี่ยว นางก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจเล็กน้อยจึงทำเพียงพยักหน้าคราหนึ่ง
เจินเมี่ยวแสดงความเคารพอย่างสง่าผ่าเผย “พี่หว่าน สายัณห์สวัสดิ์เจ้าค่ะ”
สำหรับสหายรักของพี่รอง นางต้องให้เกียรติสักหลายส่วน ยิ่งไปกว่านั้นความทรงจำที่นางมีต่อเถาหว่านก็ไม่เลวเลย ทั้งมีที่มิได้ใช้เวลาในจวนเจี้ยนอานปั๋วกับเจินเหยียนมากเท่าใดนัก แต่กลับมิได้ทำตัวห่างเหินอันใด เท่านี้ก็นับว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว
เจินเหยียนทราบว่าสหายสนิทของตนมิใคร่ชมชอบเจินเมี่ยวนัก ในอดีตนั้นนางมิได้รู้สึกอันใดทว่ายามนี้กลับรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง รอยยิ้มที่เผยออกมาจึงดูเจื่อนลงไปหลายส่วน
เมื่อเทียบกับความเย็นชาของตน มารยาทที่เจินเมี่ยวแสดงออกนั้นจึงทำให้เถาหว่านรู้สึกอึดอัดไม่น้อย นางยิ้มให้เจินเมี่ยวด้วยความประหม่าแล้วดึงเจินเหยียนมาพูดคุย “พี่เหยียน ระยะนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง...” พูดพลางจูงเจินเหยียนเดินไปทางริมฝั่งน้ำ
“พี่ห้า พวกเราก็ไปทางนั้นเถิด” เจินอวี้ดึงมือเจินปิงเดินไป
ที่แห่งนั้นจึงเหลือเพียงเจินเมี่ยวและเจินจิ้ง
เจินเมี่ยวไม่ทราบว่าควรจะปฏิบัติเช่นไรกับเจินจิ้งในยามนี้
นางมิใช่คนฉลาด เล่ห์กลแผนการอันใดนางล้วนทำมิเป็น
เจินเมี่ยวรู้สึกผิดต่อเจินจิ้งทว่าเมื่อคิดถึงสิ่งที่นางทำ ก็รู้สึกรังเกียจยิ่งจึงพยักหน้าให้เจินจิ้งแล้วเดินไปที่ริมฝั่งแม่น้ำเงียบๆ เพียงคนเดียว
นางก้มหน้าแล้วเปิดตะกร้าหยิบเอาองุ่นสองพวงออกมา วางใส่เรือไม้น้อยสลักลายบุปผา แล้วยื่นมืองามเสลาออกไปวักน้ำเบาๆ ผลักเรือให้เข้าสู่กระแสน้ำ
“ฮึ นี่เป็นแตงสลักของเจ้า? ” เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้น รู้สึกตกใจอยู่บ้าง “ชูสยาจวิ้นจู่? ”
ชูสยาจวิ้นจู่นั้นสวมเสื้อสีขาวนวลและกระโปรงสิบหกจีบประดับไข่มุกเจ็ดสี มองดูแล้วให้ความรู้สึกดั่งมาจากต่างถิ่นอยู่หลายส่วน และอาภรณ์ชนิดนี้ก็กำลังเป็นที่นิยมในปีนี้
บรรดาสาวน้อยที่กำลังลอยเรืออยู่นั้นต่างก็หันมองมาเมื่อได้ยินวาจาของชูสยาจวิ้นจู่ ตามติดด้วยเสียงหัวเราะเยาะดังกระเพื่อมขึ้น
สิ่งที่เรียกว่าขนมเฉียวกั่วและแตงสลัก ย่อมต้องผ่านการแกะสลักมาก่อน
อย่างขนมเฉียวกั่วนั้นคือการนำแป้ง น้ำผึ้งและสิ่งอื่นๆ คลุกเคล้ากับผลไม้แล้วนำไปทอด สตรีที่มีฝีมือและความคิดสร้างสรรค์จะปั้นแต่งเป็นบุปผานานาชนิด บ้างปั้นกลีบบุปผา เป็นผักหรือผลไม้ ยิ่งรูปแบบงดงามแปลกใหม่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงฝีมืออันยอดเยี่ยมของสตรีผู้นั้น
ส่วนแตงสลักก็มิใช่แค่ล้างผักผลไม้ให้สะอาดก็เรียกว่าแตงสลักได้ บ้างแกะสลักอักษรรูปภาพลงไป หรือไม่ก็แกะสลักให้เป็นรูปทรงต่างๆ สรุปคือยิ่งแตกต่างจากผู้อื่นยิ่งดี
“โอ้ว คนบางคนก็มีเพียงศีรษะอันว่างเปล่า ในท้องบรรจุถุงหญ้าไว้เต็ม” ผู้ที่เอ่ยวาจานี้คือคุณหนูเจ็ดจ้าวเฟยชุ่ยแห่งจวนมู่เอินโหว
จวนมู่เอินโหวเป็นพระญาติของหวงโฮ่ว จ้าวเฟยชุ่ยเป็นหลานสาวแท้ๆ ของหวงโฮ่ว จึงมักถูกเรียกตัวเข้าวังอยู่เสมอ อุปนิสัยนั้นนับวันยิ่งแกร่งกล้า และความสัมพันธ์ของนางกับชูสยาจวิ้นจู่ก็นับว่าไม่เลวเลย
ชูสยาจวิ้นจู่หัวเราะเสียงดัง เสียงนั้นลอยล่องไปไกลประหนึ่งระฆังเงินก็มิปาน “เฟยชุ่ย เจ้าไม่รู้อันใดเสียแล้ว สตรีผู้นี้มีศีรษะที่เต็มไปด้วยสติปัญญายิ่ง มิเช่นนั้นจะปีนป่ายขึ้นที่สูงได้อย่างไร ส่วนทำอันใดเป็นหรือไม่นั้นก็มิใช่เรื่องสำคัญแล้ว”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ เทียว” จ้าวเฟยชุ่ยหัวเราะตามนาง
เวลาเพียงไม่นาน สายตาที่มีความรู้สึกอันหลากหลายของผู้คนต่างพุ่งตรงเข้ามา ทั้งไม่ยี่หระ ดูถูก และกำลังรอเรื่องสนุกที่จะเกิดขึ้น
เวลานี้มีเพียงฉงสี่เซี่ยนจู่บุตรีคนที่สามของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ที่ยังจัดแจงเรือน้อยของตนอยู่ มุมปากนางผุดรอยยิ้มอย่างมิใส่ใจ
อาจเพราะต้องการตัวในละครฉากสนุกนี้ก็เป็นได้ เรือน้อยที่เจินเมี่ยวปล่อยไปนั้นจึงยังคงลอยวนอยู่ในน้ำ ผลองุ่นสองพวงที่มิได้มีการแกะสลักใดๆ นั้น ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าผู้คนทั้งหลายอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ทำให้ผู้คนหัวเราะเบาๆ ออกมา
เจินเหยียนและคนอื่นๆ รีบรุดเดินมาหา
เจินอวี้พุ่งเข้าไปผลักเจินเมี่ยวโดยแรง เอ่ยออกมาด้วยความโมโห “พี่สี่ ท่านนี่เหลือเกินจริงๆ ทำให้จวนปั๋วของเราต้องขายหน้าอยู่หลายครั้งหลายครา! ”
เจินเมี่ยวเซถลาเกือบตกแม่น้ำไป
สีหน้าเจินเหยียนั้นคล้ายเคลือบด้วยเกล็ดน้ำแข็ง นางถลึงจ้องเจินอวี้เขม็ง แล้วจึงหันมองชูสยาจวิ้นจู่และจ้าวเฟยชุ่ยคราหนึ่ง นางเปิดตะกร้าของตนออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน นำขนมเฉียวกั่วและแตงสลักวางใส่เรือเล็กแล้วผลักลอยไปบนผิวน้ำ
บังเอิญเหลือเกินที่เรือน้อยของเจินเหยียนลอยไปหยุดที่ตรงกลางระหว่างเรือน้อยของชูสยาจวิ้นจู่และจ้าวเฟยชุ่ยพอดี
ขนมเฉียวกั่วของนาง แต่ละชิ้นมีขนาดเท่าลูกลำไย ทั้งหมดสี่สิบเก้าชิ้นร้อยเป็นสร้อยมุก ที่พิเศษไปกว่านั้นคือขนมเฉียวกั่วทุกชิ้นถูกปั้นเป็นรูปดอกกุหลาบที่กลีบกำลังจะผลิบาน ขนาดรูปร่างใกล้เคียงกันเกือบทั้งหมด
การปั้นแต่งเช่นนี้ต้องใช้ความคิดและเวลาอย่างมาก จึงนับว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว
ครั้นมองไปที่แตงสลักของเจินเหยียนก็เป็นองุ่นพวงหนึ่งเช่นกัน แต่เป็นสีเขียวมรกต บนองุ่นทุกลูกล้วนถูกวาดไว้ด้วยภาพทิวทัศน์
แม้นภาพทิวทัศน์นั้นจะเกิดจากลายเส้นที่ตวัดเพียงไม่กี่ครา แต่แค่ความคิดสร้างสรรค์และระดับความยากในการวาดภาพลงบนผลองุ่นลูกเล็กเช่นนี้ได้นั้นก็ชนะผู้อื่นไปไกลมากโขแล้ว
อย่างน้อยสิ่งของทั้งสองอย่างของนางก็สามารถเทียบเคียงกับชูสยาจวิ้นจู่และจ้าวเฟยชุ่ยได้อย่างแน่นอน ทั้งยังสามารถดึงดูดสายตาของฉงสี่เซี่ยนจู่ที่มีท่าทีเกียจคร้านไม่ยี่หระต่อสิ่งใดอยู่ตลอดนั้นเอาไว้ได้อีกด้วย
เมื่อสิ่งที่เจินเหยียนหยิบออกมานั้นทำให้บรรดาสาวน้อยทั้งหลายต่างเงียบเสียงลงได้
สีหน้าของชูสยาจวิ้นจู่จึงออกจะย่ำแย่อยู่บ้าง นางจ้องมองเจินเหยียนตาเขม็ง
เจินเหยียนที่ยืนตัวตรงดุจพู่กัน เพียงเผยยิ้มบางเบาเท่านั้น
“ฮึ ผู้ใดจะทราบว่าเจ้าทำเองหรืออย่างไร” ในที่สุดจ้าวเฟยชุ่ยก็คิดคำตอบโต้ออกมาได้
ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล เสียงที่เอ่ยจึงดังยิ่งขึ้นไปอีก “หากมีความสามารถจริง อีกประเดี๋ยวเจ้าไปลงแข่งขันสิ ถ้าสามารถทำได้ทั้งสองแบบนี้ ข้าก็จะเชื่อ”
เจินเหยียนขมวดคิ้ว
นางย่อมต้องเป็นผู้ลงมือทำขนมเฉียวกั่วและแตงสลักนี้ด้วยตนเองเป็นแน่ ทว่าผู้เฉียบแหลมย่อมรู้ว่ามิอาจทำสำเร็จได้ในเวลาเพียงชั่วครู่
การแข่งขันในเทศกาลชีซี กำหนดระยะเวลาแข่งขันนานที่สุดก็คือการทำขนมเฉียวกั่วและแตงสลัก แต่ก็เพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น
“ท่านกำลังกลั่นแกล้งผู้อื่น! ” เมื่อเผชิญหน้ากับคนนอก เจินอวี้ย่อมต้องยืนข้างเจินเหยียนแน่นอน
“หึๆ กลั่นแกล้งอันใดกัน ข้าว่าพวกเจ้าคุณหนูจวนเจี้ยนอานปั๋วคงเข้าแข่งขันมิได้แน่ ผู้หนึ่งแสร้งว่าทำได้ อีกผู้หนึ่งก็หยิบผลองุ่นสองพวงวางลงไปเสียดื้อๆ หากเป็นข้า คงอับอายจนตาย ไม่มีหน้าออกจากจวนเป็นแน่” จ้าวเฟยชุ่ยเอ่ยอย่างไม่แยแส
บางคนหัวเราะคิกคักขึ้นมา บางคนรู้สึกว่าจ้าวเฟยชุ่ยนั้นพูดแรงเกินไป แม้นมิได้ส่งเสียงอันใดแต่ก็อยากจะดูความสนุกที่จะเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน
ฉงสี่เซี่ยนจู่กวาดตามองจ้าวเฟยชุ่ยอย่างเฉยชาคราหนึ่ง
คนผู้นี้ ปากช่างเหม็นเหลือเกินแล้ว
ครั้นมองเห็นอารมณ์ที่แตกต่างกันไปของผู้คน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเพียงดรุณีน้อยอายุมากที่สุดไม่เกินสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น ความเบื่อหน่ายชนิดหนึ่งพุ่งจึงขึ้นมาจากก้นบึ้งจิตใจของเจินเมี่ยวทันที
การทะเลาะเช่นนี้ ดูไม่ต่างอันใดกับเด็กน้อยเสียจริง ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน แต่ในเมื่อถูกผู้อื่นชี้จมูกยิ้มเยาะปานนี้แล้ว ต่อให้เป็นเรื่องน่าเบื่อกว่านี้ นางก็ต้องทำแล้ว!