ตอนที่ 30
ตอนที่ 30 พานพบอีกครา
แม้เทศกาลชีซีจะตรงกับวันขึ้นเจ็ดค่ำ แต่งานกลับเริ่มตั้งแต่ยามบ่าย
รถม้าในราชวงศ์ต้าโจวนั้นมีอยู่มากมาย ทว่าวันนี้ยิ่งคึกคักเป็นพิเศษ
เจินเมี่ยวนั่งอยู่บนรถม้าที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป เสียงจอแจด้านนอกลอยเข้าหูอยู่ไม่ขาดสาย
นางแหวกม่านสีเขียวบางออกช้าๆ สอดส่ายสายตามองด้านนอก ซึมซับเอาบรรยากาศของงานประเพณีที่แสนคุ้นเคยนี้ แล้วปิดม่านลงอย่างไร้สุ้มเสียง
รถม้าเคลื่อนผ่านถนนหลายสาย ตอนที่เจินเมี่ยวโงนเงนกำลังจะหลับนั้น รถม้ากลับหยุดลงในที่สุด
เหลียนเยี่ยประคองเจินเหยียนลงไปก่อน อาหลวนจึงประคองเจินเมี่ยวตามไป
อีกด้านหนึ่ง เจินปิงและคนทั้งสองก็ลงจากรถม้าเช่นกัน
ตรงทางเข้ามีทหารยืนตรวจตราอยู่ เจินฮ่วนนำคนเดินเข้าไป แสดงป้ายบอกฐานะแล้วหยิบเงินส่งให้เล็กน้อยตามความเคยชิน จึงถูกเชิญเข้าไปด้านในอย่างนอบน้อม
นี่เป็นเพียงการตรวจสอบเพื่อป้องกันมิให้ประชาชนทั่วไปหลงเข้ามาได้
เมื่อเดินเข้ามาภายในก็จะเห็นทหารจากหน่วยกองกำลังทหารม้าทั้งห้า1 รวมทั้งกองพลมังกรและกองพลพยัคฆ์ หากมีคนคิดก่อเรื่องหรือกระทำการอันใดต่อคุณหนูทั้งหลายในวันพิเศษนี้ เหล่าทหารย่อมลงมือตอบโต้อย่างไม่เกรงใจ
นี่เป็นการมาร่วมงานเป็นครั้งที่สามของเจินเมี่ยวแล้ว ทว่ามันเป็นเพียงความทรงจำที่อยู่ในหัวร่างเดิม ย่อมไม่เบิกบานเท่ากับการเห็นด้วยตาแน่
นางเห็นพื้นที่ปูลาดเป็นทางยาวด้วยหินอ่อนมีขนาดกว้างถึงสองจั้ง2 สองข้างทางล้วนเป็นต้นไม้ใหญ่ แม้ใบเล็กแต่ก็หนาเป็นพุ่ม อีกทั้งต้นไม้แต่ละต้นก็อยู่ชิดติดกัน แสงแดดอันร้อนแรงจึงถูกลดทอนให้กลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ สาดส่องลงไปบนพื้นหินอ่อน ทำให้ตลอดทางนั้นเย็นสบายยิ่ง
ยามนี้เป็นช่วงที่บุปผากำลังแย้มบาน เพียงลมพัดมาวูบหนึ่ง ดอกไม้สีขาวและสีชมพูต่างสลับกันร่วงหล่นลงมาประหนึ่งพัดขนไก่น้อยแสนประณีต ทั้งยังมีกลิ่นหอมจรุงใจอีกด้วย
“สวยเหลือเกิน” เจินเมี่ยวค่อยๆ ยื่นมือออกไปรับดอกไม้ไว้เงียบๆ
เสียงหัวเราะเยาะหยันดังลอยมา “พี่สี่ ท่านมาเป็นครั้งที่สามแล้ว น้องสาวต่างหากที่เพิ่งมาเป็นครั้งแรก เหตุใดท่าทางจึงสลับกันเล่า”
วาจานี้ลอบเยาะหยันว่าเจินเมี่ยวความรู้น้อย ทำท่าประหนึ่งมิเคยพบเห็น
เจินเมี่ยวได้สติคืนมา นางมิได้สนใจต่อการท้าทายของเจินอวี้แม้แต่น้อย กลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “สถานที่งดงามเช่นนี้ ไม่ว่ามากี่ครา ข้าก็ยังรู้สึกว่าสวยมากอยู่ดี เช่นเดียวกับน้องหก ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็รู้สึกว่าช่างเป็นคนงามเหลือเกิน”
กล่าวจบก็มิใส่ใจนางอีก ใช้มือถกกระโปรงขึ้นแล้วสาวเท้าก้าวไปข้างหน้าทันที
ในสถานที่ที่งดงามแห่งนี้ ยังมีอาหารเลิศรสที่ต้องกินให้ได้ นางต้องสติไม่ดีไปแล้วแน่ๆ ถ้ายังมัวโต้เถียงกับเด็กสาวอายุสิบสองคนหนึ่งอยู่
เจินอวี้ที่ถูกทิ้งไว้นั้นทั้งโมโหทั้งหงุดหงิด อย่างไรก็มิอาจหาของผิดพลาดของเจินเมี่ยวได้ จึงได้แต่ขยำผ้าเช็ดหน้าตนโดยแรงเท่านั้น
เจินปิงจูงนางมาอีกทางหนึ่ง เอ่ยเสียงกดต่ำว่า “น้องหก อยู่ดีๆ แท้ๆ เหตุใดเจ้าต้องไปยั่วพี่สี่ด้วยเล่า”
ข้า ข้าไม่ชอบนาง! ทำไมหรือ นางทำเรื่องเช่นนั้นแท้ๆ แต่ยังคงหัวเราะมีความสุข แต่คนที่รับเคราะห์กลับเป็นพี่สามที่ไม่เกี่ยวข้องอันใด จนยามนี้ซูบเซียวดูไม่ได้แล้ว!
หากบอกว่าเจินอวี้ชอบเจินจิ้ง นั่นก็มิอาจพูดได้เต็มปาก บุตรภรรยาเอกย่อมต้องมีใจดูแคลนบุตรของอนุภรรยาอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อความสงสารที่นางมีต่อเจินจิ้ง โดยเฉพาะผู้ที่ทำผิดนั้นยังเป็นคนที่นางเกลียดอีกด้วย
เจินเหยียนไม่ทราบเดินตามสองคนนี้มาตั้งแต่เมื่อใด ดวงตากลมโตกวาดมองเจินอวี้ น้ำเสียงที่เอ่ยแผ่วเบาไม่ต่างกันแต่ก็ได้ยินชัดเจน “ข้ากลับไม่รู้ว่าน้องสี่ทำเรื่องเช่นใดกันจึงทำให้เจ้าซึ่งเป็นน้องสาวต้องเชิดหน้าชูคาง ชำเลืองมองด้วยหางตาอยู่ร่ำไป”
“เรื่องเช่นใด หรือต้องให้ข้าพูด...” เจินอวี้ยังกล่าวไม่ทันจบก็ถูกเจินปิงดึงไว้เสียก่อน
เจินเหยียนยิ้ม “ใช่ เรื่องเช่นใดหรือเจ้าเก่งจริงก็พูดออกมาดังๆ ! เจ้ากลัวว่าคนทั้งหลายจะลืม คนในตระกูลเราจึงต้องกล่าวถึงสักคราเช่นนั้นไม่สู้ตีฆ้องร้องป่าวให้รู้ไปทั่ว เจ้าตัวโง่งม! ”
เจินเหยียนยกมือประสานกันแล้วเดินตามเจินเมี่ยวไป
เจินอวี้โมโหจนตัวสั่น แม้แต่ขอบตาก็แดงแล้ว แต่เพราะพี่รองเป็นต้นแบบที่ดีของพี่สาวมาตลอด ต่อให้ตำหนิน้องสาวก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล นางจึงได้แต่อึ้งงันไม่กล้าเปิดปากโต้แย้ง
“เอาล่ะ อย่าได้หงุดหงิดอีกเลย เรารีบไปกันเถอะ วันเวลาที่ดีเช่นนี้มีเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น” เจินปิงดึงเจินอวี้ให้เดินตามไป
เจินจิ้งก้มหน้าเล็กน้อย ยกกระโปรงขึ้นก้าวเท้าแผ่วเบาตามติดไป เพียงแต่หน้าม้าที่ยาวถึงหัวคิ้วในวันก่อนนั้นถูกเก็บขึ้นโดยมีดอกบัวหยกดอกหนึ่งติดไว้ เผยให้เห็นใบหน้าอันเฉิดฉันอย่างชัดเจน
คุณหนูจวนเจี้ยนอานปั๋วแต่ละคนล้วนสวยสดงดงาม
วันนี้เดิมเป็นวันเที่ยวเล่นสนุกสนานของเด็กสาว ทั้งยังมีทหาร องครักษ์มากมายคอยตรวจตรา เจินฮ่วนย่อมมิได้เข้มงวดกับบรรดาน้องสาวนัก จึงทำเพียงเดิมตามหลังไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
เพราะเจินเมี่ยวยกกระโปรงเดินเร่งฝีเท้าไปข้างหน้า ทำให้สายตาของเจี่ยงเฉินเลื่อนไปมองรองเท้าปักสีเขียวอ่อนคู่นั้นโดยไม่รู้ตัว แล้วรีบหันหนีทันทีประหนึ่งถูกเข็มจิ้มตาก็มิปาน
“น้องเฉิน เป็นอันใดไป”
“ไม่มีอันใด อาจเพราะดอกไม้นั้นหอมเกินไป ทำให้มิค่อยคุ้นชินสักเท่าใด”
เจินฮ่วนหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆ น้องเฉิน หากมีบุปผาเลื่องนาม จะเด็ดสักดอกก็มิเป็นไร”
เจี่ยงเฉินอายุเพิ่งจะสิบห้า หากเป็นตระกูลผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งบางตระกูลก็หมั้นหมายแล้ว ทว่าเขามาจากตระกูลบัณฑิต ทั้งยังสอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ แม้เขาคิดจะมี ตระกูลคงมิเห็นด้วยกับการหมั้นหมายของเขาในยามนี้แน่
วาจานี้ของเจินฮ่วนย่อมเป็นเพียงการเย้าแหย่ เจี่ยงเฉินกลับมิได้ปฏิเสธดั่งถูกไฟลนก้นหรือแม้แต่โกธรเคืองอย่างหนุ่มน้อยในวัยเดียวกัน เขาเพียงยิ้มบางเบากล่าวว่า “น้อมรับคำมงคลของพี่ฮ่วนแล้ว”
“พี่ใหญ่ ข้าไม่ชอบดอกไม้ ข้าอยากจะกินของอร่อยๆ ” หันเกอเห็นพี่สาวหลายคนวิ่งไปก็มิอาจทนไหวอีก
“อืม เช่นนั้นรีบไปกันเถิด”
เมื่อเดินถึงถนนใหญ่ที่มีต้นไม้ปลูกอยู่เต็มไปหมด บรรยากาศอันคึกคักนั้นก็พุ่งเข้ามาตรงหน้า
คลื่นซัดสาดกระจายเป็นวงในแม่น้ำเหลียนอีอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เรือน้อยใหญ่ต่างลอยล่องอยู่บนผืนน้ำ เสียงดนตรีบรรเลงแสนไพเราะดังแว่วมา
บนริมฝั่งมีร้านแบกะดินวางเต็มไปหมด ผู้คนมากมายคึกคัก มีคนขายแป้งประทินโฉม เครื่องประดับเงินทอง เสื้อผ้าแพรพรรณ ขนมของกินเล่น อยากได้สิ่งใดล้วนมีทั้งสิ้น
ยามนี้ยังไม่ถึงเวลากินขนมเฉียวกั่ว เจินเมี่ยวจึงไปที่ร้านขายขนม
“พี่สี่ รอข้าด้วย! ” หันเกอวิ่งตามมา
หันเกออายุเพียงแค่สิบเอ็ดปี เป็นวัยกำลังชอบกินชอบเที่ยว
พี่สาวหลายคนต่างไปดูเครื่องประทินผิว พี่ชายทั้งสองสนใจภาพวาดอักษรโบราณ ยากนักที่จะมีพี่สาวสักคนไปเดินซื้อขนม เขาย่อมต้องตามติดไปด้วยเป็นธรรมดา
“เช่นนั้นเจ้ารีบตามข้ามา อย่าให้ห่าง” เจินเมี่ยวกำชับพลางเดินเลือกขนมตั้งแต่ร้านแรกเป็นต้นไป
หากสิ่งใดเคยกินแล้วก็เดินผ่านไป หากยังไม่เคยกินก็จะซื้อหนึ่งชิ้น แบ่งเอาเพียงคำก็ยกให้หันเกอ
แรกเริ่มนั้นหันเกอดีใจมาก ทว่าเดินไปยังไม่ถึงครึ่งทางก็กินจนท้องอ้วนกลมหมดแล้ว เอ้อสี่บ่าวรับใช้ที่ตามเขามาต้องคอยถือตะกร้าของกินแทนเจินเมี่ยว ในใจกล่าวว่าคุณหนูสี่ผู้นี้นั้นออกจะตะกละเกินไปแล้ว หรือคิดจะกินของในนี้ให้หมดเลยหรือไร
เจินเมี่ยวคิดเช่นนั้นจริงๆ ยากนักจะได้ออกจากจวน หากมิชิมอาหารเลิศรสและลอบเรียนวิธีทำของกินที่ชอบไว้คงเสียเปรียบตายแน่ เพียงแต่ของกินนั้นมีหลากหลายชนิดเกินไป น่ากลัวว่าแม้กินเพียงคำก็มิอาจกินได้แล้ว
เมื่อดูแล้วว่ายังเหลือร้านอีกเกือบครึ่ง เจินเมี่ยวจึงลูบท้องกลมโตของตนพลางถอนหายใจ นางโบกมือคราหนึ่ง “เอ้อสี่ เจ้าไปซื้อขนมจากร้านที่เหลือให้ข้ามาอย่างละหนึ่งชิ้น! ”
หากมันเย็นก็ค่อยอุ่นใหม่ แม้จะมีผลต่อรสชาติอยู่บ้างแต่ก็คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว
เอ้อสี่ลอบกลอกตาไปมา เหตุใดต้องเป็นข้า ท่านมิใช่ไม่มีสาวใช้เสียหน่อย ทว่าเมื่อมองไปที่ใบหน้างดงามไร้ผู้ใดเปรียบของอาหลวนแล้ว ก็เดินไปซื้อขนมอย่างว่าง่ายทันที
“หันเกอ พวกเรากลับเถิด” เจินเมี่ยวจูงมือหันเกอหมุนตัวกลับไป ฉับพลันมือก็ต้องหยุดชะงักลง
เหตุใดจึงเป็นเขาอีกแล้ว!
[1] หน่วยกองกำลังทหารม้าทั้งห้า เป็นกองทัพที่คอยลาดตระเวนตรวจทั่วทิศในเมืองหลวง โดยแบ่งประจำทิศตะวันออก ตะวันตก เหนือ ใต้ และศูนย์กลาง
[2] จั้ง เป็นหน่วยวัดระยะความยาวของจีน ยาวประมาณ 3.33 เมตร