icon member

วาสนาบันดาลรัก

ตอนที่ 27

ตอนที่ 27 พิษ

เส้นด้ายสีแดงที่มาจากร้านเทียนซิ่วเช่นเดียวกันกลับเป็นสีแดงคนละอย่าง

“พี่รอง ข้าคิดไปคิดมา หากมีปัญหาเกิดขึ้นจริงๆ น่ากลัวว่าจะเป็นที่เส้นด้ายนี้แล้ว เพียงแต่มีปัญหาใดกันแน่นั้นกลับมิอาจทราบได้”

เจินเหยียนเม้มริมฝีปาก เคลื่อนสายตาออกจากกระดาษสามแผ่นใหญ่นั้น แล้วดึงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา “เอาผ้าเช็ดหน้านี้ให้ข้าก่อน ข้าจะตรวจสอบดูสักหน่อย”

เจินเมี่ยวพยักหน้าคล้อยตามอย่างรวดเร็ว

หากเทียบกับเจินเหยียนที่ช่วยนางเวินจัดการเรื่องราวต่างๆ มาหลายปี เส้นสายของนางคงไม่มากเท่าอย่างเห็นได้ชัด

เวลาเพียงแค่ครึ่งวัน เจินเหยียนก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าหนักอึ้ง ท่าทางสงบนิ่งทว่าปลายนิ้วที่บีบผ้าเช็ดหน้านั้นกลับสั่นเล็กน้อย

“น้องสี่ เจ้ารู้หรือไม่ เส้นด้ายนี้ เคลือบไว้ด้วยน้ำบุปผาแดงโลหิตสด!”

“บุปผาแดงโลหิต? ” เจินเมี่ยวตกใจเป็นอย่างยิ่ง

เจินเหยียนพยักหน้า “ข้าไปถามท่านหมอมาแล้ว บุปผาแดงโลหิตสดนี้เป็นบุปผาสีแดงชนิดหนึ่ง มันร้ายกาจอย่างยิ่ง หากใช้เส้นด้ายที่ย้อมด้วยน้ำสดๆ ของมันไปเย็บปักของใช้แล้วให้สตรีพกไว้ติดกาย ผ่านไปนานเข้าจะทำให้ตั้งครรภ์ยาก! ”

ลมเย็นสายหนึ่งแผ่กำจายขึ้นมาในใจเจินเมี่ยว

นางทราบดีว่าการแย่งชิงในจวนใหญ่นั้นโหดร้ายยิ่ง แต่มันก็เป็นเพียงความคิดชนิดหนึ่งเท่านั้น คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเมื่อต้องเผชิญกับมันด้วยตนเองแล้วจะรู้สึกตกใจหวาดหวั่นได้ถึงเพียงนี้ 

ควรทราบว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ นางตั้งใจทำเพื่อมอบให้เจินเหยียนในวันมงคล!

เห็นชัดว่าเจินเหยียนก็คิดถึงจุดนี้เช่นกัน จึงโยนผ้าเช็ดหน้านั้นลงบนโต๊ะโดยแรง “น้องสี่ เรื่องนี้ จะต้องทำให้น้ำลดหินโผล่[1] ให้จงได้! ”

[1น้ำลดหินโผล่ เป็นสำนวน เปรียบเปรยถึงความจริงที่ปรากฏออกมา]

ถือเป็นการช่วยปัดเป่าอุปสรรคให้น้องสี่ก่อนที่นางจะออกจากจวนแล้วกัน

เจินเหยียนคิดเช่นนี้พลางลอบยิ้มขมขื่นอยู่เพียงผู้เดียว หากน้ำยังไม่ลดหินยังไม่โผล่ เรื่องที่เกิดขึ้นนี้แท้จริงแล้วหวังทำร้ายใครนั้นก็ยังไม่แน่นอน อาจจะเป็นน้องสี่ อาจจะเป็นนาง หรือบางทีอาจจะเป็นพี่สะใภ้!

ทว่าอย่างไรเป้าหมายก็ต้องเป็นบ้านเล็กของพวกนางเป็นแน่

“พี่รอง จะตรวจสอบอย่างไร” เจินเมี่ยวเห็นดอกกุหลาบสีแดงแสบตานั้นก็รู้สึกเวียนหัวยิ่ง โลกนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน!

ครั้นเห็นท่าทางเหม่อลอยของเจินเมี่ยวแล้ว เจินเหยียนก็ยื่นนิ้วชี้ที่เล็บถูกทาด้วยสีชมพูนั้นจิ้มหน้าผากนางคราหนึ่ง “เจ้าคนทึ่มทื่อ เราจะไม่ตรวจสอบ”

“ไม่ตรวจสอบหรือ” เจินเมี่ยวฟังแล้วงุนงงยิ่ง

เจินเหยียนถอนหายใจ เหตุใดจึงรู้สึกว่าน้องสาวผู้นี้นับวันยิ่งหัวช้ากว่าแต่ก่อน

เมื่อนึกถึงท่าทางเก่งกาจพร้อมฟาดฟันของเจินเมี่ยวในอดีต เจินเหยียนก็หวาดกลัวขึ้นมาทันที ช่างเถิด ทึ่มทื่อเช่นนี้ต่อไปยังดีเสียกว่า

“ใช่แล้ว พวกเราจะไม่ตรวจสอบ อย่างไรพวกเราก็เป็นสตรี บางเรื่องต่อให้ทำได้ แต่มือกลับมิอาจยื่นยาวมากเกินไปนัก ทั่วทั้งจวนนี้ท่านป้าใหญ่เป็นผู้ดูแล แม่นมห้องเย็บปักก็เป็นคนที่ท่านป้าใหญ่นำมาด้วยเมื่อคราออกเรือน พวกเราแค่นำผ้าผืนนี้ไปให้ท่านป้าใหญ่ก็พอแล้ว” เจินเหยียนอธิบายให้เจินเมี่ยวฟังอย่างใจเย็น

เจินเมี่ยวพยักหน้าอย่างเข้าใจ ครั้นคิดถึงพี่รองที่อายุเพียงสิบหกปีแต่ฝีมือร้ายกาจยิ่ง และผู้ซ่อนในที่ลับ คนร้ายซึ่งลงมือเพียงครั้งก็สามารถจัดการได้ถึงสามคน ยังมีคู่หมั้นที่คิดจะเอาชีวิตนางตลอดเวลาผู้นั้นอีก นางพลันรู้สึกว่าการมีชีวิตที่ดีของตนคงยากลำบากยิ่งแล้ว

สองวันต่อมาทุกอย่างยังคงสงบไร้คลื่นลม ทว่าหนึ่งวันก่อนจะถึงเทศกาลชีซี2 นั้นกลับไม่เห็นเจินจิ้งมาน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่า 

ฮูหยินใหญ่สกุลเจี่ยงกล่าวว่า “เด็กผู้นั้นเป็นไข้หวัด สะใภ้จึงให้นางพักผ่อนอยู่ในห้อง ฮูหยินผู้เฒ่าคงมิตำหนิที่สะใภ้ตัดสินใจเช่นนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”

เจินเหยียนและเจินเมี่ยวมองสบตากัน

เมื่อวานเจิ้นจิ้งยังสบายดีอยู่แท้ๆ มิใช่หรือ

ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง จึงยิ้มอบอุ่นพลางกล่าวว่า “ดูเจ้าพูดเข้า หญิงชราเช่นข้าเหมือนคนไม่รักห่วงหลานสาวปานนั้นเชียวหรือ แต่งานมงคลของเจ้าสามใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าต้องเชิญหมอดีๆ สักคนมาตรวจดูให้ละเอียดด้วย”

“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเจ้าค่ะ” นางเจี่ยงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“โธ่เอ๊ย พี่สามช่างป่วยไม่ถูกเวลาเสียจริง พรุ่งนี้เป็นวันเทศกาลชีซีแล้ว เช่นนั้นนางก็คงมิอาจไปร่วมงานเทศกาลชีซีปีสุดท้ายก่อนออกเรือนใช่หรือไม่” เจินอวี้เอ่ยขึ้นมาด้วยปากไว

“เป็นเพราะเด็กคนนั้นโชคไม่ดี” นางเจี่ยงเอ่ยเสียงเรียบ 

บ้านใหญ่นั้นมีอนุภรรยาเพียงคนเดียว นางให้กำเนิดบุตรสาวคือคุณหนูสาม ดังนั้นนางเจี่ยงย่อมเป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดในเรื่องนี้ ผู้อื่นจึงมิได้ใส่ใจ

ฮูหยินรองเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “พี่สะใภ้ช่างวาสนาดีนัก อนุภรรยารู้ความ บุตรสาวก็เชื่อฟัง หึๆ เจ้าว่าหรือไม่น้องสะใภ้สาม เอ๊ะ น้องสะใภ้สาม ข้ามิใช่จะว่ากระไร แต่ระยะนี้เจ้าผ่ายผอมลงไปมากเหลือเกิน”

 [2เทศกาลชีซี ตรงกับวันขึ้นเจ็ดค่ำเดือนเจ็ดตามปฏิทินจันทรคติจีน เดิมมีชื่อว่าเทศกาลฉีเฉี่ยว หมายความว่าขอความฉลาดและความสามารถด้านการเย็บปักถักร้อย เป็นเทศกาลเก่าแก่ของจีน โดยคนรุ่นใหม่ยกให้เป็นวันแห่งความรัก] 

นางเวินและนายท่านสามเย็นชาต่อกันมาเป็นเวลานาน คนก็ซูบผอมไปมาก แม้จะมิได้พูดจาวู่วามเช่นกาลก่อนแต่ก็มิยอมให้ผู้ใดมาเอาเปรียบ นางจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ในเรือนข้าไม่มีอนุภรรยาจึงมิทราบ”

ฮูหยินใหญ่สกุลเจี่ยงเลิกคิ้วขึ้น แม้นจะทราบว่าวาจานี้กล่าวตอบโต้นางหลี่ ทว่าเมื่อได้ยินกลับรู้สึกไม่สุขใจนัก ในใจอยากจะเอ่ยพูดสักประโยค ทว่าเมื่อคิดถึงผลการตรวจสอบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นจึงหยุดความคิดไป นางลอบตำหนิว่านางหลี่เป็นปีศาจจอมหาเรื่อง คอยแต่เพิ่มความยุ่งยากให้ผู้คน

นางหลี่ชอบประมือกับนางเวินที่สุด เมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ จึงยิ้มพลางกล่าว “เกรงว่าต่อไปน้องสะใภ้สามคงต้องเป็นกังวลแล้ว เพราะข้าได้ยินมาว่าน้องสามเรียกใช้งานสาวใช้ทงฝังไปสองคนแล้ว”

ครั้นวาจานี้ถูกกล่าวออกมา นางเวิน เจินเหยียนและเจินเมี่ยวต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

นายท่านสามนับวันยิ่งทำตัวเหลวไหล กระนั้นเพราะเกรงใจฮูหยินผู้เฒ่าจึงมิได้ออกไปวุ่นวายข้างนอก แต่กลับเรียกใช้งานสาวใช้ไปถึงสองคนแล้ว

ยามนี้สาวใช้ที่มีแผนการในใจล้วนอยากจะวิ่งเข้าหานายท่านสามทั้งสิ้น

“ท่านป้ารอง ท่านลุงจะกลับมาเมืองหลวงอีกคราก็ปลายปีใช่หรือไม่เจ้าคะ น่าเสียดาย เช่นนั้นคงมิได้ดื่มสุรามงคลของหลานแล้ว” เจินเหยียนเอ่ยเบี่ยงประเด็นสนทนาได้อย่างสุภาพ

นางหลี่ฟังแล้ว ใบหน้าขาวซีด ลอบขยำผ้าเช็ดหน้าอยู่เงียบๆ

นายท่านรองรับหน้าที่อยู่ข้างนอกหลายปีแล้ว นางกลัวที่สุดคือเขาจะนำบุตรของอนุกลับมาด้วย!

ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยปากขึ้น “พรุ่งนี้เป็นวันเทศกาลชีซี พวกเจ้าทั้งหลายก็อย่ามัวแต่มานั่งอยู่ที่นี้เลย รีบไปเตรียมตัวเถิด อย่าทำให้จวนปั๋วของเราต้องเสียหน้าเด็ดขาด”

ราษฎร์แห่งราชวงศ์ต้าโจวนั้นเปิดกว้างมากยิ่ง เทศกาลของเด็กสาวจึงมีสามวัน แบ่งเป็นวันที่ห้าเดือนห้า วันที่เจ็ดเดือนเจ็ดและวันที่เก้าเดือนเก้า เพราะเทศกาลชีซีจัดขึ้นเพื่อเด็กน้อยที่ยังมิออกเรือนจึงได้รับความสำคัญมากที่สุด

ครั้นถึงวันเทศกาลชีซี ภายในเมืองหลวงจะแบ่งเขตการจัดงานขึ้นสองแห่งคือทิศบูรพาและทิศประจิม

ฝั่งทิศประจิมจัดเพื่อคุณหนูในตระกูลสูงศักดิ์ ทิศบูรพานั้นจัดเพื่อสตรีธรรมดาทั่วไป ตำแหน่งฐานะแบ่งแย่งกันชัดเจนเพราะวันนี้นับเป็นการดูตัวในรูปแบบของงานเทศกาลอันยิ่งใหญ่

สาวน้อยที่ยังมิได้หมั้นหมายต่างปรารถนาให้ได้เจอผู้ที่ฟ้าลิขิตไว้ สตรีที่หมั้นหมายแล้วก็ภาวนาให้การแต่งงานของตนสมบูรณ์ราบรื่น สำหรับสาวน้อยอายุครบสิบสองปีที่ไม่สามารถไปร่วมงานเทศกาลชีซีได้นั้นนับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

“ฮูหยินผู้เฒ่าพูดถูก พวกเจ้ารีบไปเตรียมทำขนมเฉียวกั่ว3 และแตงสลัก4 อย่าลืมฝึกสนเข็มให้มากด้วย โดยเฉพาะปิงเอ๋อร์และอวี้เอ๋อร์ที่ไปร่วมงานครั้งแรก หากวันพรุ่งนี้มีโอกาสได้แสดงฝีมือต่อหน้าคนทั้งหลาย จะได้มิอับอาย” นางเจี่ยงกำชับอีกหนึ่งคำรบ

นางเป็นฮูหยินผู้ดูแลจวนปั๋ว หากคุณหนูทั้งหลายแสดงฝีมือไม่ได้เรื่อง ผู้ที่หน้าไร้สีมากที่สุดก็คือนาง

“เจ้าค่ะ” คุณหนูทั้งหลายรับคำพร้อมกันแล้วลุกขึ้นขอตัวจากไป

“อืม ส่วนจิ้งเอ๋อร์ ระยะนี้พวกเจ้าอย่าเพิ่งไปเยี่ยมนาง จะได้ไม่ติดไข้หวัดมาด้วย” นางเจี่ยงเอ่ยเสียงเรียบ

ฮูหยินผู้เฒ่ามองนางเจี่ยงครู่หนึ่ง

คุณหนูทั้งหลายต่างแยกจากไปด้วยความคิดที่แตกต่างกัน

เจินเหยียนกับเจินเมี่ยวนิ่งเงียบมาตลอดทาง กระทั่งต้องแยกจากจึงได้มองสบตากันแล้วถอนหายใจออกมา ทว่าไม่มีแก่ใจจะเอ่ยวาจาใดจึงแยกจากกันไปเงียบๆ

 [3ขนมเฉียวกั่ว หรือขนมฉลาด ขนมขอให้ฉลาด มีหลายชื่อเรียก ซึ่งเป็นสิ่งที่นิยมที่สุดในเทศกาลชีซี ซึ่งมีรูปทรงหลายแบบ แล้วแต่ฝีมือการปั้นของสตรีผู้นั้นๆ]

 [4แตงสลัก เป็นการแกะสลักลาดลายลงบนแตงหรือผลไม้อื่นๆ หรืออ่านแกะเป็นรูปทรงก็ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่นิยมควบคู่กับการทำขนมเฉียวกั่วในเทศกาลชีซี]

วาสนาบันดาลรัก

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด