ตอนที่ 21
ตอนที่ 21 วิวาท
ครั้นเจินเมี่ยวทราบว่าเจี้ยนอานปั๋วอยากพบ นางก็อกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา
กระทั่งได้พบหน้ากัน เจี้ยนอานปั๋วผู้เป็นปรมาจารย์ด้านการกินดื่มอย่างสุขสำราญรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เพียงเพราะการพูดคุยถึงวิธีการทำโจ๊กน้ำแกงไก่ ปู่หลานจึงสนทนาเรื่องอาหารเลิศรสกันอยู่นาน
ตอนที่เจินเมี่ยวจากไปนั้น ในมือได้มีกรงนกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง ภายในมีนกเอี้ยงก้นลายจะงอยปากขาว เท้าเหลือง มันจ้องมองนางด้วยความระแวดระวัง
เมื่อกลับถึงสวนเฉินเซียง เจินเมี่ยวก็เอากรงนกแขวนไว้ใต้ชายคาเรือนแล้วไปหาคุณหนูรองเจินเหยียน สองพี่น้องนัดหมายกันไว้ว่าจะไปเยี่ยมนางเวินด้วยกัน
ท่าทางของนางเวินดูไม่ค่อยดีนัก
หลายวันก่อนนำบุตรสาวไปเฝ้าไข้เหล่าปั๋วเหยี่ยยังดีขึ้นบ้าง แต่หากว่างเมื่อใดก็จะรู้สึกอ่อนเพลียทันที เป็นความหงอยเหงาซึมเศร้าที่บอกไม่ถูกชนิดหนึ่ง
“ท่านแม่เป็นเช่นนี้ ข้าห่วงเหลือเกิน ได้ยินฮว่าปี้บอกว่า หลายวันมานี้ท่านแม่ไม่ใคร่อยากอาหารนัก กินไปเพียงไม่กี่คำก็วางตะเกียบแล้ว” เจินเหยียนขมวดคิ้วพูดด้วยความกลัดกลุ้ม
“จิตใจของท่านแม่ยังมิอาจข้ามผ่านเรื่องนั้นไปได้” ครั้นเจินเมี่ยวนึกถึงวันที่ท่านพ่อแสดงท่าทีเฉยชาต่อพวกนางแม่ลูกเพราะเรื่องหว่านอี๋เหนียง ในใจพลันหดหู่ขึ้นมา
ในยุคสมัยนี้ แม้จะเป็นสตรีที่มีอุปนิสัยแข็งกร้าวอย่างนางเวินก็ตาม หากต้องเผชิญหน้ากับบุรุษที่ยอมแข็งข้อเพื่ออนุภรรยาเล็กๆ ผู้หนึ่งก็คงทำได้เพียงตำหนิตัวเองเท่านั้น
ภายในสวนเหอเฟิง สาวใช้ทุกคนล้วนยืนอยู่ไกลๆ มีเพียงฮว่าปี้คนเดียวที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
สองพี่น้องเดินเกี่ยวแขนกันเข้าไปด้านใน ฮว่าปี้ขวางคนทั้งสองไว้ เอ่ยเสียงกดต่ำว่า “คุณหนูทั้งสอง นายท่านอยู่ในห้องเจ้าค่ะ”
เจินเหยียน เจินเมี่ยวสบตากัน ต่างรู้สึกแปลกใจ
พวกนางคิดว่า อย่างน้อยท่านพ่อกับท่านแม่ก็ต้องทำสงครามเย็นกันอีกสักพัก
“น้องสี่ ค่ำกว่านี้พวกเราค่อยมาใหม่เถิด” เจินเหยียนคิดว่าท่านพ่อท่านแม่อาจจะคืนดีกันได้ สีหน้าจึงดีขึ้นเล็กน้อย
เจินเมี่ยวพยักหน้า
ทั้งสองหมุนกายคิดจากไป พลันได้ยินเสียงของในห้องแตกกระจายดังแว่วมา
เจินเหยียนขมวดคิ้วแน่น ส่งสายตาให้ฮว่าปี้คราหนึ่งแล้วดึงเจินเมี่ยวเข้าไปภายในเรือน
ห้องทางตะวันออกมีเสียงทะเลาะกันดังชัดเจนยิ่ง
“ข้าบอกเจ้าไว้เลย หลายปีมานี้ข้าทนเจ้ามาพอแล้ว เจ้ามิอาจยอมรับหว่านเหนียงได้มิใช่หรือ ดี! ต่อไปข้าจะมีอนุงามสักสิบคน แปดคน ดูสิว่าเจ้าจะขายได้หมดหรือไม่”
“สตรีชั่วช้าเพียงคนเดียวทำให้ท่านเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ท่านไม่กลัวขายหน้า แต่ข้ากลัว! ” น้ำเสียงของนางเวินนั้นฟังแล้วเย็นชาอย่างยิ่ง ทั้งมีความโกรธเคืองที่มิอาจกดข่มเอาไว้ได้แฝงอยู่
เสียงแค่นหัวเราะของนายท่านสามดังลอดออกมา “นางเวิน ในใจของเจ้านางคือคนชั่วช้า แต่ในใจข้า นางสะอาดบริสุทธิ์กว่าเจ้าเสียอีก ชาติกำเนิดต่ำต้อยมิใช่ความผิดของนาง ทว่าเจ้า นางเวิน ตระกูลของเจ้าสูงส่งนักหรือไร ก็เป็นเพียงตระกูลที่ล่มสลายแล้วเท่านั้น!”
เสียง เพล้ง ดังขึ้น เสียง เพียะ ก็ดังตามมา เสียงพูดลอดไรฟันของนางเวินลอยแว่วมา “ท่านออกไปเดี๋ยวนี้!”
“หึๆ เจ้าคงอยากขอให้ข้าอยู่เสียมากกว่า หากมิใช่เห็นแก่บุตรชายหญิงทั้งสาม ข้าคงหย่าขาดจากสตรีที่ไร้คุณธรรมเช่นเจ้าไปนานแล้ว”
เจินเหยียนฟังแล้วโมโหจนต้องกัดฟันไว้ เจินเมี่ยวเองก็โกรธเคืองไม่ต่างกัน
ครั้นนายท่านสามแหวกม่านออกมาเห็นบุตรสาวทั้งสองยืนอยู่ก็แปลกใจเล็กน้อย แล้วเปิดประตูเดินสะบัดออกไปโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยวาจา
ภายในห้องเงียบสงัดอยู่นาน เสียงร้องไห้ที่พยายามข่มกลั้นไว้ของนางเวินดังลอดออกมา
สองพี่น้องเดินเข้าไปข้างใดอย่างเบามือเบาเท้า
นางเวินหยุดร้องไห้ทันที นางเงยหน้าขึ้นมองสองพี่น้องคราหนึ่ง “พวกเจ้า ได้ยินหมดแล้ว?”
เจินเหยียนนั่งลงเตียงข้างนางเวิน เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าโมโหไปเลย ท่านพ่อแค่กำลังหลงผิดอยู่”
ยุคสมัยนี้เรื่องกตัญญูสำคัญที่สุด แม้ใจเจินเหยียนนั้นจะโกรธเคืองบิดาอย่างมาก แต่ก็มิกล้าพูดวาจาไม่น่าฟังอันใด
นางเวินนอนอิงกับหมอนแล้วหลับตาลง น้ำตาค่อยๆ รินไหลออกมา “เหยียนเอ๋อร์ เมี่ยวเอ๋อร์ พวกเจ้าจำไว้ ต่อไปอย่าหัดอย่างแม่ สตรีหากมีอุปนิสัยแข็งกร้าวเกินไปย่อมทำให้ตนลำบาก”
“ท่านแม่ ในเมื่อท่านเข้าใจแล้ว เหตุใดยังแข็งกร้าวอีก ความจริงท่านพ่อเป็นคนกินอ่อนไม่กินแข็ง” เจินเหยียนเอ่ยเตือน
ตอนนั้นที่นางยกเอาชื่อเสียงต่างๆ มาอ้างเพื่อให้ขายหว่านอี๋เหนียงออกไปเสียก็เพราะรู้สึกได้ว่าบิดารักหว่านอี๋เหนียงเข้าจริงๆ เสียแล้ว นางเวินมีอุปนิสัยแข็งกร้าวย่อมมิอาจเอาชนะใจคนได้
นานวันเข้าบิดาก็จะถูกผลักออกไปไกลแสนไกล ถึงตอนนั้นด้วยอุปนิสัยของนางเวินก็มิอาจทราบได้ว่าจะก่อเรื่องเช่นใดขึ้น
นางจึงยินยอมที่จะกระทำเรื่องชั่วร้ายนั้นแทนนางเวิน เพียงหวังว่าต่อไปนางเวินจะอ่อนลง แล้วค่อยๆ ปลอบประโลมหัวใจของบิดาให้กลับคืนมา แต่คิดไม่ถึงว่า คนทั้งสองยังวิวาทกันจนถึงขั้นนี้
นางเวินมองเจินเหยียนอย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง และหันมองเจินเมี่ยว คำถามที่เอ่ยออกมานั้นแปลกอย่างยิ่ง “เมี่ยวเอ๋อร์ หากเป็นเจ้า จะทำเช่นไร”
เจินเมี่ยวคิดไม่ถึงว่านางเวินจะถามตน เห็นนางทำหน้าตาจริงจัง จึงครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน กล่าวออกไปตามความจริงว่า “ลูกไม่มีประสบการณ์ จึงคิดไม่ออกว่าควรต้องทำเช่นไร แต่หากสามีของข้าพูดต่อหน้าข้าว่าหญิงนางโลมยังสะอาดบริสุทธิ์กว่าข้า น่ากลัวว่าข้าคงเอาแจกันทุบหน้าเขาเป็นแน่เจ้าค่ะ”
นางเวินอึ้งงันไป แล้วหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา “เด็กโง่ เจ้าไม่เข้าใจอันใดเท่าพี่เจ้าจริงๆ ”
เจินเหยียนได้ยินวาจาของนางเวินและเจินเมี่ยวแล้ว ในใจกลับยิ่งกลัดกลุ้ม
มารดาแท้ๆ เป็นเช่นนี้ไปแล้ว น้องสาวก็ยังจะเป็นเช่นนี้อีก อนาคตจะทำอย่างไรเล่า
“ท่านแม่ ท่านเข้าใจดีแท้ๆ เหตุใดถึงได้ฝืนทำเช่นนั้นอีก”
ได้ยินคำถามของเจินเหยียน นางเวินก็หลับตาลง “แม่เข้าใจก็สายเกินไปเสียแล้ว แม่มีอุปนิสัยเช่นนี้มาครึ่งชีวิต ไม่อยากเปลี่ยนแล้ว เอาล่ะ พวกเจ้าสองพี่น้องกลับไปเถิด ”
“ท่านแม่...”
“กลับไปเถิด แม่เหนื่อยแล้ว” นางเวินไม่หันมองสองพี่น้องนั้นอีก
“ท่านแม่ ท่านอย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ นะเจ้าคะ” เจินเหยี่ยนกัดริมฝีปากพลางเอ่ยออกไป
นางเวินจึงลืมตาขึ้น ส่ายหน้ายิ้มๆ “เด็กโง่ เหยียนเอ๋อร์ของข้าจะออกเรือนเดือนแปดนี้แล้ว แม่จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร แม่ยังต้องรอดูเจ้าออกเรือน ในบรรดาบุตรทั้งสาม เหยียนเอ๋อร์เป็นผู้รู้ความที่สุด และทำให้แม่วางใจได้มากที่สุด เมี่ยวเอ๋อร์ ต่อไปต้องเรียนรู้จากพี่รองของเจ้าให้มาก”
สองพี่น้องจากเรือนเหอเฟิงไปด้วยจิตใจเป็นกังวล
“น้องสี่ อาการของท่านแม่เจ้าก็เห็นแล้ว หากคิดจะคลายปมในใจคงมิใช่วันสองวัน ข้ามีเวลาอีกเพียงเดือนกว่าก็จะออกเรือนแล้ว ต่อไปคงต้องให้เจ้าคอยตักเตือนท่านแม่”
“ข้าจะดูแลท่านแม่อย่างดี”
เจินเมี่ยวคิดว่าเจินเหยียนเป็นสตรีที่เพียบพร้อมและเป็นนายหญิงตามแบบที่ยุคสมัยนี้ต้องการทุกประการ ภายหน้านางคงเป็นผู้ที่มีชีวิตผาสุกที่สุดแน่
ส่วนนางนั้น แน่นอนว่าต้องพยายามเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตที่ดี เพียงแต่คำว่าดีนี้ อาจมิได้เป็นเหมือนที่คนทั้งหลายเข้าใจเท่านั้นเอง
กลับถึงสวนเฉินเซียง เจินเมี่ยวสั่งให้จื่อซูไปหยิบกล่องเก็บเบี้ยหวัดออกมาเปิดดู จึงพบว่าทั้งหมดมีเพียงร้อยสิบตำลึงและเศษเหรียญทองแดงอีกเล็กน้อย
เมื่อเห็นเจินเมี่ยวคอตกท่าทางเศร้าซึมเช่นนั้น จื่อซูจึงถามว่า “คุณหนูเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ”
เจินเมี่ยวทราบว่าจื่อซูเป็นคนสุขุมและปากหนักจึงเอ่ยว่า “ท่านแม่สุขภาพไม่สู้ดีนัก ข้าอยากทำของบำรุงให้ท่านแม่ทุกวัน เพียงแต่มิอาจใช้ของในห้องครัวของท่านย่าได้เช่นครั้งที่ทำโจ๊กน้ำแกงไก่ให้ท่านปู่ วัตถุดิบต่างๆ ล้วนเป็นของที่ที่นั้นเตรียมให้ ที่นี่เรามีเพียงเตาเล็กๆ ใช้การไม่สะดวก ข้าคิดว่าจะไปขอยืมใช้ห้องครัวใหญ่และซื้อวัตถุดิบจากที่นั้นด้วย แต่เบี้ยหวัดข้ามีน้อยไป เกรงว่าจะทำได้เพียงไม่กี่วัน”
จื่อซูคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หากฮูหยินสามสุขภาพไม่ดี สามารถเบิกยาบำรุงจากส่วนกลางได้เจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวถอนหายใจ
นางเวินนั้นป่วยด้วยโรคทางใจ หากเบิกสิ่งของกับส่วนกลางคงมิต่างกับการยกธงผืนใหญ่ขึ้นโบกสะบัด ไม่รู้จะเกิดเหตุการณ์ใดบ้าง อีกอย่าง...หากกระทำไม่สำเร็จแทนที่จะเป็นการแสดงความกตัญญูของบุตร อาจกลับกลายเป็นการเพิ่มความยุ่งยากให้นางเวินแทน
“เช่นนั้นก็ทำไปก่อน หากไม่พอค่อยว่ากันอีกที ไม่แน่ถึงตอนนั้นท่านแม่อาจหายแล้วก็ได้”
เจินเมี่ยวไม่ทราบจะทำอย่างไรให้เบี้ยหวัดเพิ่มมา จึงโยนเรื่องกลุ้มใจทิ้งไว้อีกด้าน และทำการฝึกย่อเข่า ดัดขา แช่สมุนไพรไปตามลำดับ
เมื่อถึงยามค่ำก็ปล่อยผมสยาย ใส่เสื้อผ้าหลวมสบายนั่งคัดอักษรริมหน้าต่าง ฝึกไปเพียงครู่รู้สึกร้อนจึงลุกขึ้นยื่นแขนไปเปิดหน้าต่าง แต่กลับพบว่ามิอาจผลักมันเปิดออกได้